ขอนอบน้อมแด่ธรรมจงมีแก่ท่าน
จากประสบการณ์ที่ได้ปฏิบัติธรรม ในส่วนของการเดินจงกรมนั้น พอมีแนวทางการปฏิบัติ อยู่ที่การใช้เท้าของผู้ปฏิบัติเดิน ทั้งข้างขวา และข้างซ้าย
เวลาก้าวย่าง เริ่มจากขวาก่อน ก็กำหนดว่า ขวา เวลาใช้เท้าซ้ายย่าง ก็กำหนดว่า ซ้าย ทำไปเรื่อยๆ ซึ่งอาจจะกำหนดระยะทางในการเดิน เพื่อว่าจะได้เดินกลับไป และกลับมา ซัก 30 นาที
ในจุดเริ่มต้น ให้กำหนดให้ช้าที่สุด แล้วตามดูอาการของร่างกายของผู้ปฏิบัติว่า มีอะไรเกิดขึ้น หลายๆ ท่านจะรู้สึกว่า อยากเดินให้เร็วๆ นั้นเป็นเพราะจิตของเรามีความรวดเร็วมาก แต่ที่เราทำให้ช้า เพราะจะได้เห็นอาการต่างๆ ที่เรายังไม่เคยเห็น
ในขณะที่เดิน ถ้ากำหนดได้ดีไประยะหนึ่งแล้ว พอให้มี ขณิกสมาธิ เกิดขึ้นบ้างเล็กน้อยแล้ว และจิตของเราไม่วิ่งไปไหนแล้ว ก็ลองพัฒนาขึ้นไปอีกซักระดับหนึ่ง คือกำหนดว่า ยก ย่าง เหยียบ ดู ทุกขณะที่เรามีการเคลื่อนไหว เราก็ใช้สติตามดูอาการของร่างกายของเรา ว่าขณะนี้ เรายกเท้า หรือ ย่าง หรือเหยียบลงไป
เวลาเท้าของผู้ปฏิบัติ สัมผัสกับหญ้า (นั้นหมายถึงว่า ถอดรองเท้าเดิน) เราก็จะรู้ว่า ขณะนี้ เราสัมผัสกับหญ้า และเราก็จะเห็นอาการอย่างหนึ่งเกิดขึ้น คือ อาการเกิดดับ เวลาเรายกเท้าขึ้น อาการเกิด ได้บังเกิดขึ้น เมือเราย่างเท้าออกไป กระบวนการยกเท้า ก็จะดับไป และมีการย่างเกิดขึ้นใหม่ เมื่อเราเหยียบไปที่หญ้า ขั้นตอนการย่าง ก็ดับไป มีการเหยียบเกิดขึ้น เมื่อกลับไปสู่ขึ้นตอนการยกขึ้น การยก เป็นการเกิด การเหยียบ ดับไปแล้ว ทำให้เราเห็นว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไป เพียงเท่านี้ แม้แต่สิ่งที่อยู่ในอิริยาบทของเราเอง ก็มีแค่การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไปเท่านั้น พอมาเปรียบเทียบกับร่างกายของเรา ก็จะมีแค่ เกิดขึ้น(การจุติมายังชาตินี้) ตั้งอยู่สักพักหนึ่ง แล้วก็ดับไป(จุติไปจากชาตินี้) เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเลย
ผู้ปฏิบัติจะเห็นได้ชัดในขณะที่เราเดินจงกรม และในขณะนั้น จิตของเราก็เข้าไปสัมผัสกับสมาธิ นั้นหมายถึงว่า โปราณาจารย์หลายท่านได้กล่าวว่า การเดินจงกรม เป็นวิธีปฏิบัติที่ทำให้เกิดสมาธิได้ง่ายที่สุด เมื่อเทียบกับการนั่งสมาธิ เพราะในขณะที่เดินจงกรม ร่างกายของเราก็จะมีการเคลื่อนไหว แต่จิตของเราจดจ่ออยู่แค่อิริยาบทเดินเท่านั้น แต่ในขณะที่เรานั่งสมาธิ ร่างกายของเราหยุดนิ่ง แล้วกำหนดไป แต่จิตของเราก็จะกำหนดได้เป็นช่วงๆ แล้วจิตก็จะวิ่งออกไป เพื่อเอาความคิดทั้งในอดีต อนาคต มาให้เราได้เห็น เพราะความคิด เป็นอาหารของจิต และจิตต้องมีอะไรได้รับประทาน ก็เอาสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติในอดีต ทั้งที่หอมหวาน และทุกข์ระทม มาให้เราได้เห็นในขณะที่ร่างกายหยุดนิ่ง หรือสิ่งที่จะวางแผนที่จะทำในอนาคต ก็เอามาให้เห็น
ซึ่งการเดินจงกรม ควรทำควบคู่ไปกับการนั่งสมาธิ นั้นหมายความว่า เริ่มจากเดินจงกรม 30 นาที และไปนั่งสมาธิ 30 นาที ทำสลับไปมา จะเป็นการดีมาก
ในทุกอิริยาบทที่เดินจงกรม สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ สติ ต้องมีสติ กำกับอยู่ทุกขณะจิต ถึงต้องทำช้าๆ ถึงช้าที่สุด ในจุดเริ่มต้น เพื่อให้สติตามกำกับจิตให้อยู่ในปัจจุบัน คือขณะที่ก้าวย่าง ถึงแม้บางช่วงอาจจะขาดสติ ก็ไม่เป็นไร พอรู้ตัว ก็เอาสติมากำกับต่อไป ไม่ต้องเคร่งเครียดมาก พยายามทำให้ร่างกายรู้สึกสบายให้มากที่สุด เพื่อให้ร่างกายได้ผ่อนคลายในขณะที่เดินด้วย
แต่มีสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ความพยายามและความมุ่งมัน ที่จะปฏิบัติ อย่าท้อ และอย่าถอย เพราะหนทาง และทางสายนี้ มีคนผ่านมาเยอะแล้ว ไม่ยากเกินความสามารถของผู้ปฏิบัติ แต่ก็ไม่ง่าย ที่สุดทางแล้วผู้ปฏิบัติก็จะได้สัมผัสกับนิรันตสุขอย่างแท้จริง
ขอเป็นกำลังใจ และขอธรรมะจงเกิดแด่ท่าน
ผู้ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่ง