วัดป่าสุธัมมาราม
เรื่อง พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา:มหาอุบาสิกาวิสาขา กัณฑ์ที่ ๑
พระธรรมบทเทศนา
พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา
(๔) เรื่องมหาอุบาสิกาวิสาขา [๔๐]
กัณฑ์ที่ ๑
-------------------------------
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
ยถาปิ ปุปฺผราสิมฺหา กยิรา มาลาคุเณ พหู
เอวํ ชาเตน มจฺเจน กตฺตพฺนํ กุสลํ พหุนฺติ.
บัดนี้ จะวิสัชนาพระธรรมเทศนาเรื่องมหาอุบาสิกาวิสาขา อันมีมาในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท ขุททกนิกาย บุปผวรรคที่ ๔ แห่งสุตตันตปิฎก นับเป็นลําดับเรื่องที่ ๔๐ เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลส่วนธรรมเทศนามัย และขอเชิญท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย จงตั้งใจสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลบุณยนฤธี ส่วนธรรมสวนมัยสืบไป ณ บัดนี้ ดําเนินความว่า –
สตฺถา สาวตฺถึ อุปนิสฺสาย ปุพฺพาราเม วิหรนฺโต - สมัยหนึ่งสมเด็จพระบรมศาสดา เสด็จอาศัยพระนครสาวัตถี ประทับพระอิริยาบถอยู่ ณ วัดบุพพารามมหาวิหาร ครั้งนั้นพระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดภิกษุทั้งหลาย โดยทรงปรารภมหาอุบาสิกาวิสาขาให้เป็นอุปบัติเหตุ ซึ่งมีเรื่องเล่าดังต่อไปนี้ –
สา กิร องฺครฎเฐ - ได้ยินมาว่า มหาอุบาสิกาวิสาขานั้น ได้บังเกิดในครรภ์ของนางสุมนเทวี ภริยาหลวงของธนัญชยเศรษฐีผู้เป็นบุตรของเมณฑกเศรษฐี ในเมืองภัททิยะ แว่นแคว้นอังคะ ในเวลาที่มหาอุบาสิกานั้นมีอายุได้ ๗ ขวบปี สมเด็จพระบรมศาสดาทรงพิจารณาเห็นอุปนิสัยสมบัติของเผ่าพันธุ์เวไนยสัตว์ผู้ควรแก่ที่จะได้ตรัสรู้มรรคผลทั้งหลาย ซึ่งมีท่านเสลพราหมณ์เป็นต้น จึงได้เสด็จสู่ที่จาริกพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จํานวนมากเป็นพุทธบริวาร ได้เสด็จคมนาการบรรลุถึงเมืองภัททิยะนั้น
ตสฺมึ จ สมเย เมณุฑโก - ก็ในสมัยนั้น ท่านเมณฑกคฤหบดีเป็นหัวหน้าชั้นคนมีบุญ ๕ คน ด้วยกัน ได้ครองตําแหน่งเศรษฐีในภัททิยนครนั้น ก็คนมีบุญมาก ๕ ท่านนั้น คือ เมณฑกเศรษฐี ๑ นางจันทปทุมาภริยาหลวงของท่านเศรษฐี ๑ ธนัญชัยเศรษฐีบุตรคนโตของท่านเศรษฐี ๑ นางสุมนาเทวีภริยาของธนัญชัยเศรษฐี ๑ นายปุณณะคนรับใช้ของท่านเมณฑกเศรษฐี ๑ ก็ในพระราชอาณาเขตแว่นแคว้นแดนดินของพระเจ้าพิมพิสารผู้ครองแผ่นดินมคธรัฐนั้น มิใช่มีแต่ท่านเมณฑกเศรษฐีผู้เดียวเท่านั้น ยังมีมหาเศรษฐีขนาดที่มีโภคสมบัติอย่างนับไม่ถ้วนถึง ๕ ท่านด้วยกัน คือ โชติกเศรษฐี ๑ เมณฑกเศรษฐี ๑ ปุณณกเศรษฐี ๑ กากวลียเศรษฐี ๑ บรรดาท่านทั้ง ๕ นั้น ท่านเมณฑกเศรษฐีนี้ได้ทราบว่าสมเด็จพระทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จมาถึงพระนครของตน จึงเรียกเด็กหญิงวิสาขาธิดาของธนัญชัยเศรษฐีผู้เป็นบุตรของตนมาแล้วแนะนําว่า “ หลานจ๋า ! นับว่าเป็นมงคลของเจ้าด้วย เป็นมงคลของเราด้วย เจ้าพร้อมด้วยพวกเด็กหญิงที่เป็นบริวารของเจ้าทั้ง ๕๐๐ คนนั้น จงพากันขึ้นรถ ๕๐๐ คัน มีหญิงรับใช้ ๕๐๐ คน แห่ล้อมแล้ว จงไปรับเสด็จสมเด็จพระทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้า น่ะหลานหนา “ เด็กหญิงวิสาขารับคําแล้วก็ได้ปฏิบัติตามคําแนะนําของท่านนั้นทุกประการ ก็เพราะเธอเป็นเด็กฉลาดในฐานะอันสมควรและฐานะอันไม่สมควร ครั้นขึ้นรถไปถึงที่เท่าที่รถควรไปแล้ว ก็ลงจากรถเดินเท้าเปล่าเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา กราบถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง ทันใดนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโดยสมควรแก่บุพจริยาของเด็กหญิงวิสาขานั้น ในเวลาจบพระธรรมเทศนา เด็กหญิงวิสาขาพร้อมด้วยเด็กหญิงบริวาร ๕๐๐ ก็ได้ดํารงอยู่ในโสดาปัตติผล สําเร็จเป็นอริยสาวิกาโสดาบันบุคคลในพระพุทธศาสนา ฝ่ายท่านเมณฑกเศรษฐีเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา ฟังพระธรรมเทศนาแล้วก็ได้ดํารงอยู่ในโสดาปัตติผล สําเร็จเป็นพระโสดาบันอริยบุคคล แล้วนิมนต์สมเด็จพระบรมศาสดาเพื่อเสวยภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น ครั้นถึงวันรุ่งขึ้นท่านเศรษฐีได้อังคาสเลี้ยงดูภิกษุสงฆ์มีสมเด็จพระพุทธองค์เป็นประธานด้วยของเคี้ยวและของฉันอันประณีตบรรจง ณ นิเวศน์ของตน แล้วก็ได้ถวายมหาทานด้วยอาการอย่างนี้อีกต่อไปจนตลอดกาลกึ่งเดือน ส่วนสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่ภัททิยนครตามสมควรแก่พระพุทธอัธยาศัยแล้ว ก็ได้เสด็จกลับไป ด้วยประการฉะนี้
เตน โข ปิน สมเยน - ก็โดยสมัยนั้นแล พระเจ้าพิมพิสารผู้ครองกรุงราชคฤห์กับพระเจ้าปเสนทิโกศลผู้ครองกรุงสาวัตถี ต่างก็ทรงเป็นพระราชภิศดาของพระราชคดีนี้ของกันและกัน ( ต่างองค์ต่างก็ได้น้องสาวของกันและกัน ) อยู่มาภายหลังวันหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลมีพระราชดําริว่า ในพระราชอาณาเขตของพระเจ้าพิมพิสารนั้น มีคนมีบุญมากขนาดมีโภคสมบัตินับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ถึง ๕ คน แต่ในพระราชอาณาเขตของเราไม่มีคนมีบุญมากเช่นนั้นแม้สักคนเดียว ถ้ากระไรเราควรไปทูลขอคนมีบุญมากสักคนหนึ่งกับพระเจ้าพิมพิสาร ครั้นทรงมีพระราชดําริดังนี้แล้ว ก็ได้เสด็จไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารทรงทําพระราชปฏิสันถารแล้วทูลถามว่า “ พระองค์เสด็จมาทั้งนี้ด้วยมีพระราชประสงค์อย่างไร “ พระเจ้าปเสนทิโกศลทูลว่า “ ในพระราชอาณาเขตของพระองค์ มีคนมีบุญมากขนาดมีโภคสมบัตินับไม่ถ้วน อาศัยอยู่ถึง ๕ คน หม่อมฉันมาครั้งนี้ด้วยหมายว่าจักทูลขอรับเอาคนมีบุญมากจาก ๕ คนนั้นไปสักคนหนึ่ง ขอพระองค์จงทรงพระราชทานคนมีบุญมากให้หม่อมฉันสักคนหนึ่งเถิด “ พระเจ้าพิมพิสารทูลตอบว่า “ หม่อมฉันไม่อาจที่จะโยกย้ายตระกูลใหญ่ ๆ ได้ “ พระเจ้าปเสนทิโกศลทูลว่า “ เมื่อไม่ได้คนมีบุญมากหม่อมฉันก็จักไม่กลับ “ พระเจ้าพิมพิสารทรงปรึกษากับหมู่มุขอํามาตย์ แล้วตรัสตอบพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า “ การที่จะเคลื่อนย้ายตระกูลใหญ่ ๆ เช่นตระกูลโชติกเศรษฐีเป็นต้น ก็เป็นเหมือนการเคลื่อนย้ายแผ่นดิน แต่บุตรของเมณฑกเศรษฐีมีอยู่ ชื่อธนัญชัยเศรษฐี หม่อมฉันจักปรึกษาเขาดูก่อนแล้วจักถวายคําตอบแด่พระองค์ “ ครั้นแล้วก็ทรงรับสั่งให้เชิญธนัญชัยเศรษฐีมาเฝ้าแล้วทรงรับสั่งว่า “ พ่อธนัญชยะ พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงรับสั่งว่าจักขอพาเอาเศรษฐีผู้มีทรัพย์ไปสักคนหนึ่ง ท่านจงไปกับพระเจ้าปเสนทิโกศลนั้น จะเป็นอย่างไร “ ธนัญชัยเศรษฐีกราบทูลว่า “ เมื่อพระองค์ทรงพระกรุณาส่งไปก็จักไป พระพุทธเจ้าข้า “ พระเจ้าพิมพิสารทรงรับสั่งว่า “ ถ้าเช่นนั้น ท่านจงทําการตระเตรียมตัวไปเถิด พ่อมหาจําเริญ “ ธนัญชัยเศรษฐีได้ทําการตระเตรียมสิ่งที่ตนควรจะต้องจัดต้องทําอย่างเรียบร้อย ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสารทรงทําการเลี้ยงส่งเป็นการใหญ่แก่ธนัญชัยเศรษฐี แล้วทูลพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า “ ขอพระองค์จงทรงพาเอาธนัญชัยเศรษฐีนี้ไปเถิด “ แล้วก็ทรงส่งเสด็จพระเจ้าปเสนทิโกศลไป ฝ่ายพระเจ้าปเสนทิโกศลนั้น ทรงพาธนัญชัยเศรษฐีไปโดยทรงพักแรมคืนเพียง ๑ ราตรีในที่ทุก ๆ แห่ง ครั้นเสด็จถึงสถานที่อันผาสุกสําราญแห่งหนึ่ง ทรงยึดเอาเป็นที่พักผ่อน ขณะนั้นธนัญชัยเศรษฐีได้กราบทูลถามว่า “ สถานที่ตรงนี้เป็นพระราชอาณาเขตของใคร พระพุทธเจ้าข้า “ พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสบอกว่า “ เป็นพระราชอาณาเขตของเรา “ ท่านธนัญชัยเศรษฐี กราบทูลถามว่า “ พระนครสาวัตถีนั้นไกลจากที่ตรงนี้ไปสักเท่าไร พระพุทธเจ้าข้า “ พระเจ้าปเสนทิโกศล ตรัสบอกว่า “ จากนี้ไปอีก ๗ โยชน์ ท่านเศรษฐี “ ธนัญชัยเศรษฐีจึงกราบทูลว่า “ ภายในพระนครนั้นย่อมคับแคบ หม่อมฉันมีชนบริวารมาก ถ้าพระองค์จะทรงพระกรุณาโปรด ฯ ข้าพระพุทธเจ้าก็จะพึงอยู่ ณ ที่ ตรงนี้ พระพุทธเจ้าข้า “ พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงอนุญาต แล้วทรงรับสั่งให้สร้างเป็นเมืองขึ้น ณ ที่ตรงนั้น พระราชทานให้แก่ธนัญชัยเศรษฐีแล้วจึงเสด็จไปยังพระนครสาวัตถี เมืองนั้นได้มีนามว่า “ เมืองสาเกต “ สืบมา เพราะสถานที่อยู่ ณ ตําบลนั้นอันธนัญชัยเศรษฐีจับจองเอาด้วยตนเอง ด้วยประการฉะนี้
สาวตฺถิยมฺปิ โข มิคารเสฏฺฐิโน – ก็บุตรชายของมิคารเศรษฐีในพระนครสาวัตถี นั่นแล ชื่อ ปุณณวัฒนกุมาร กําลังเป็นหนุ่ม ครั้งนั้นมารดาบิดาได้เตือนเธอว่า “ ลูกเอ๋ย ! เจ้าจงพิจารณาเลือกดูนางทาริกาในที่ที่เจ้าพอใจเสียสักคนหนึ่งเถิด “ ปุณณวัฒนกุมารตอบว่า “ ผมยังไม่มีความต้องการที่จะมีภริยา “ มารดาบิดาขอร้องว่า “ ลูก ! เจ้าอย่าได้ทําอย่างนั้นเลย ธรรมดาตระกูลที่ไม่มีบุตรจะตั้งอยู่สืบไปไม่ได้ “ เมื่อถูกมารดาบิดาขอร้องอยู่บ่อย ๆ ปุณณวัฒนกุมารจึงเรียนว่า “ ถ้าเช่นนั้น เมื่อได้นางทาริกาผู้ประกอบด้วยความงาม ๕ อย่าง ผมก็จักยินดีปฏิบัติตามคําแนะนําของคุณแม่และคุณพ่อ “ มารดาบิดาถามว่า “ ที่ชื่อว่า ความงาม ๕ อย่างนั้นเป็นอย่างไรลูก “ ปุณณวัฒนกุมารเรียนว่า “ คือ เกสกัลยาณะ ความงามแห่งผม ๑ มังสกัลยาณะ ความงามแห่งริมฝีปาก ๑ อัฏฐิกัลยาณะ ความงามแห่งฟัน ๑ ฉวิกัลยาณะ ความงามแห่งผิว ๑ วยกัลยาณะ ความงามแห่งวัย ๑ “
จริงอยู่ ผมของสตรีที่มีบุญมากนั้น ย่อมเป็นเช่นกับกําหางนกยูง ปล่อยให้เฟื้อยลงมาจนระชายผ้านุ่ง แล้วย่อมกลับมีปลายงอนตั้งขึ้น นี้ชื่อว่าเกสกัลยาณะ ( ผมงาม ) ริมฝีปากถึงพร้อมด้วยสีเหมือนผลตําลึงสนิทดีอย่างสม่ำเสมอ นี้ชื่อว่ามังสกัลยาณะ ( ริมฝีปากงาม ) ฟันขาวเป็นมันสม่ำเสมอไม่ห่าง งามเหมือนแถวเพชรที่ยกขึ้นเรียงกันไว้ และเหมือนแถวสังข์ที่ตัดดีแล้ว นี้ชื่อว่าอัฏฐิกัลยาณะ ( ฟันงาม ) ผิวพรรณไม่ดาษดาไปด้วยไฝเป็นต้น สําหรับหญิงดําก็ดําสนิทเหมือนกลีบดอกอุบลเขียว สําหรับหญิงขาวก็ขาวเหมือนกลีบดอกกัณณิกากี นี้ชื่อว่าฉวิกัลยาณะ ( ผิวงาม ) แม้สตรีที่คลอดแล้วตั้ง ๑๐ ครั้ง ก็เป็นเหมือนคลอดเพียงครั้งเดียว ไม่เสื่อมจากความเป็นสาว นี้ชื่อว่าวยกัลยาณะ ( วัยงาม )
ครั้งนั้น มารดาบิดาของปุณณวัฒนกุมารเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คน มาเลี้ยงภัตตาหารแล้วเรียนถามว่า “ สตรีทั้งหลายที่ประกอบด้วยความงาม ๕ อย่าง จะมีหรือ ? “ พราหมณ์ทั้งหลายตอบว่า “ มีซี ท่านเศรษฐี “ ท่านมิคารเศรษฐีกับภริยาจึงขอร้องว่า “ ถ้าเช่นนั้น ขอท่านสัก ๘ คน จงกรุณาไปเสาะหานางทาริกา ซึ่งมีความงามเห็นปานนั้นให้ด้วยเถิด “ ให้ทรัพย์ไปเป็นอันมากแล้วสั่งว่า “ เมื่อเวลากลับมาแล้ว ข้าพเจ้าทั้งสองจักสนองคุณแก่ท่านทั้งหลาย เชิญไปเถิด จงพยายามเสาะหานางทาริกาเห็นปานนั้นให้จงได้ และเมื่อพบแล้วจงเอามาลัยทองนี้ประดับให้นางทาริกานั้น “ มอบมาลัยทองราคาแสนให้พรหมณ์ ๘ คน แล้วก็ส่งไปพรหมณ์ทั้ง ๘ คนนั้น ไปเสาะหาตามเมืองใหญ่ ๆ ทั้งหลายแล้ว ก็มิได้เห็นนางทาริกาที่ประกอบด้วยความงาม ๕ อย่าง จึงพากันกลับคืนมา ได้มาถึงเมืองสาเกตในวันที่มีงานนักขัตฤกษ์อันเปิดเผยพอดี จึงคิดมั่นใจว่า งานของเราคงจักสําเร็จในวันนี้แน่ ก็ในเมืองสาเกตนั้น ย่อมมีงานชื่อวิวฏนักษัตร คืองานนักขัตฤกษ์ อันเปิดเผยทุก ๆ ปี ในคราวงานนั้นแม้ตระกูลที่ไม่เคยออกไปเล่นข้างนอกบ้าน ก็ต้องพาบริวารออกจากบ้าน ไม่คลุมกาย เดินด้วยเท้าเปล่าไปสู่ฝั่งแม่น้ำในวันนั้น แม้แต่บรรดาบุตรของตระกูลขัตติยมหาศาลเป็นต้น ก็พากันไปยืนแอบอยู่ตามถนนสายนั้น ๆ ด้วยหมายใจว่า เราเห็นนางทาริกาผู้มีตระกูล ซึ่งเป็นที่รัก และมีเชื้อชาติเสมอกับตนแล้ว ก็จักคล้องเอาด้วยพวงดอกไม้ ฝ่ายพราหมณ์ทั้ง ๘ นั้น ได้พากันเข้าไปยืนอยู่ในศาลาหลังหนึ่งที่ริมฝั่งน้ำ ขณะนั้นนางวิสาขา ซึ่งมีอายุย่างเข้า ๑๕-๑๖ ปี ประดับด้วยอาภรณ์ครบชุด มีหมู่นางกุมารี ๕๐๐ ห้อมล้อม ได้ไปถึงสถานที่ตรงนั้น ด้วยประสงค์จักไปอาบน้ำที่แม่น้ำพอดีขณะนั้นเมฆได้ตั้งเค้าขึ้นยังฝนให้ตกลงมา บรรดานางกุมารีทั้ง ๕๐๐ จึงพากันวิ่งเข้าไปหาศาลานั้น พราหมณ์ทั้งหลายพิศดูในบรรดานางกุมารีเหล่านั้นไม่เห็นผู้ที่ประกอบด้วยความงาม ๕ อย่างสักคนเดียว ส่วนนางวิสาขาได้เดินเข้าไปสู่ศาลาอย่างปกติ ผ้าและเครื่องอาภรณ์เปียกฝนหมดทั้งสิ้น พราหมณ์ทั้งหลายได้เห็นความงามของนาง ๔ อย่างแล้วประสงค์อยากจะเห็นฟันของนางอีก จึงทําอุบายพูดแก่กันและกันว่า “ ลูกสาวของเราเป็นคนมีสันดานเกียจคร้าน ใครเป็นสามีของเธอเห็นจักหาไม่ได้แม้เพียงข้าวปลาย “ ขณะนั้น นางวิสาขาจึงเรียนถามพราหมณ์เหล่านั้นว่า “ พวกท่านว่าใครคะ “ พวกพราหมณ์ตอบว่า “ ว่าเจ้าละซีแม่หนู “ ได้ยินว่าเสียงของนางวิสาขานั้นไพเราะ เปล่งออกดังเหมือนเสียงกังสดาล ต่อแต่นั้นนางจึงได้พูดกับพราหมณ์เหล่านั้นด้วยเสียงอันไพเราะอีกว่า “ เพราะเหตุไรท่านทั้งหลายจึงว่าดิฉันเช่นนั้นคะ “ พราหมณ์ทั้งหลายตอบว่า “ หญิงบริวารของเธอรีบวิ่งเข้ามาศาลา ผ้าและเครื่องประดับของเขาจึงไม่เปียก ส่วนเธอที่แค่นี้ก็ไม่รีบวิ่งมา ปล่อยให้ผ้าและอาภรณ์เปียกแล้วจึงมา เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายจึงว่าเธอ “
ตาตา มา เอวํ วเทถ - นางวิสาขาเรียนกับพราหมณ์ทั้งหลายว่า “ คุณพ่อทั้งหลาย ! อย่าว่าดิฉันอย่างนั้นเลย ดิฉันมีกําลังมากกว่าพวกหญิงบริวารเหล่านั้นเป็นไหน ๆ แต่ที่มิได้วิ่งมานั้น เพราะได้พิจารณาถึงเหตุอันคู่ควร เจ้าข้า “ พราหมณ์ทั้งหลายถามว่า “ เหตุอันคู่ควรนั้นเป็นอย่างไร แม่หนู ? “ นางวิสาขาเรียนว่า “ คุณพ่อทั้งหลาย ! บุคคล ๔ จําพวก เมื่อวิ่งไปย่อมไม่งาม และเหตุอย่างอื่นก็ยังมีอีก เจ้าข้า “ พราหมณ์ทั้งหลายซักว่า “ แม่หนู ! บุคคล ๔ จําพวก เมื่อวิ่งไปย่อมไม่งามนั้น คือใครบ้าง ? “ นางวิสาขาเรียนอธิบายว่า “ คุณพ่อทั้งหลาย ! พระราชาที่ได้ทรงราชาภิเษกแล้ว ทรงเครื่องอาภรณ์อย่างครบครัน แล้วทรงถกเขมรวิ่งไปที่พระลานหลวง ย่อมไม่งาม ย่อมจะได้รับข้อครหาว่า อะไร พระราชานี้วิ่งไปเหมือนคหบดีโดยแท้ เมื่อค่อย ๆ ทรงดําเนินไปนั่นแลย่อมงาม ช้างมงคลของพระราชาที่ประดับตกแต่งแล้ว เมื่อวิ่งไปย่อมไม่งาม เมื่อเดินไปด้วยลีลาแห่งช้างย่อมงาม บรรพชิตเมื่อวิ่งไปย่อมไม่งาม ย่อมจะได้ข้อครหาอย่างเดียวเท่านั้นว่า อะไรบรรพชิตนี้วิ่งไปเหมือนคฤหัสถ์ แต่ย่อมงามด้วยการเดินไปอย่างสงบเสงี่ยม สตรีเมื่อวิ่งไปก็ไม่งาม ย่อมจะต้องถูกครหาว่า อะไร หญิงคนนี้วิ่งไปเหมือนบุรุษนั่นเทียว แต่ย่อมงามด้วยการเดินไปอย่างปกติ คุณพ่อทั้งหลาย ! บุคคล ๔ จําพวกนี้ เมื่อวิ่งไปย่อมไม่งาม “ พราหมณ์ทั้งหลายซักอีกว่า “ แม่หนู ! ก็เหตุอย่างอื่นอีกนั้นได้แก่อะไร ? “ นางวิสาขาเรียนชี้แจงว่า “ คุณพ่อทั้งหลาย ! ธรรมดามารดาบิดาทั้งหลายย่อมพอกเลี้ยงธิดาประคับประคองให้องค์อวัยวะทุกส่วนดํารงอยู่ด้วยดี เพราะพวกดิฉันทั้งหลายชื่อว่าเป็นภัณฑะอันมารดาบิดาจําต้องจําหน่าย คือท่านย่อมพอกเลี้ยงไว้เพื่อจะส่งไปสู่ตระกูลอื่น ถ้าดิฉันวิ่งไป เกิดมือหรือเท้าหักขึ้นในเวลาเหยียบชายผ้านุ่งหรือลื่นพลาดแผ่นดินหกล้มลงไป ก็จะพึงเป็นภาระหนักแก่ตระกูลนั่นแล ส่วนเครื่องประดับนั้นเปียกแล้วก็จักแห้งได้ ดิฉันได้พิจารณาเห็นเหตุนี้ จึงมิได้วิ่งมา คุณพ่อทั้งหลาย “
พฺราหฺมณา ตสฺสา กถนกาเล - พราหมณ์ทั้งหลายได้เห็นความงามแห่งฟันของนางวิสาขาในขณะที่เธอพูดแล้วคิดว่า สมบัติเห็นปานดังนี้เราไม่เคยเห็นมาเลย แสดงความขอบใจแก่เธอแล้วพูดว่า “ แม่หนู มาลัยทองนี้สมควรแก่เธอจริง ๆ แล้วก็เอามาลัยทองนั้นประดับให้เธอ ขณะนั้นนางวิสาขาจึงเรียนถามว่า “ คุณพ่อทั้งหลาย ! พวกคุณพ่อมาแต่เมืองไหน ? “ พราหมณ์ทั้งหลายตอบว่า “ แต่เมืองสาวัตถี แม่หนู “ นางวิสาขาเรียนซักว่า “ ตระกูลเศรษฐีเมืองนั้นชื่ออะไร ? “ พราหมณ์ทั้งหลายตอบว่า “ ชื่อมิคารเศรษฐี แม่หนู “ นางวิสาขาเรียนซักอีกว่า “ บุตรของท่านมีนามว่าอย่างไร เจ้าข้า “ พราหมณ์ทั้งหลายตอบว่า “ ชื่อปุณณวัฒนกุมาร แม่หนู “ นางวิสาขาพิจารณาเห็นว่า “ ตระกูลของเรามีเชื้อชาติเสมอกัน แล้วตกลงใจรับมาลัยทองไว้แล้ว ส่งข่าวไปแก่ท่านบิดา ขอให้จัดส่งรถมารับกลับไป ก็นางวิสาขานั้นในเวลาขามาได้เดินมาด้วยเท้าก็จริง แต่เมื่อเวลาได้ประดับมาลัยทองแล้ว ไม่สมควรที่จะไปเหมือนอย่างนั้น ที่เป็นทาริกาของผู้ยิ่งใหญ่ก็ไปด้วยรถเป็นต้น ที่เป็นทาริกาของคนธรรมดาก็ขึ้นยานอย่างสามัญ บ้างก็กั้นร่มบ้างกั้นพัดใบตาล ที่ไม่มีร่มและพัดใบตาล ก็ยกเอาชายผ้านุ่งขึ้นพาดบ่าไป ส่วนท่านบิดาของนางวิสาขาได้ส่งรถไปให้ ๕๐๐ คัน นางวิสาขากับทั้งหญิงบริวารจึงได้พากันขึ้นรถกลับมา ฝ่ายพราหมณ์ทั้ง ๘ คนนั้น ก็ได้ร่วมกระบวนมาด้วยกัน นั่นเทียว ครั้งนั้นท่านธนัญชัยเศรษฐีบิดาของนางวิสาขาเรียนถามพราหมณ์ทั้ง ๘ ว่า “ พวกท่านมาแต่เมืองไหน ? “ พวกพราหมณ์ตอบว่า “ มาจากเมืองสาวัตถี ท่านมหาเศรษฐี “ ธนัญชัยเศรษฐีเรียนซักว่า “ เศรษฐีเมืองสาวัตถีนั้นมีนามว่าอย่างไร ? “ พราหมณ์ตอบว่า “ มีนามว่ามิคารเศรษฐี “ ธนัญชัยเศรษฐีซักต่อไปว่า “ บุตรของท่านเศรษฐีนั้นมีนามว่าอย่างไร ? “ พวกพราหมณ์ตอบว่า “ มีนามว่าปุณณวัฒนกุมาร “ ธนัญชัยเศรษฐีซักอีกว่า “ ทรัพย์ของท่านเศรษฐีนั้น มีประมาณสักเท่าไร ? “ พวกพราหมณ์ตอบว่า มีประมาณ ๔๐ โกฏิ ( ๔๐๐ ล้าน ) ท่านมหาเศรษฐี “ ธนัญชัยเศรษฐีพิจารณาเห็นว่า ทรัพย์เพียงเท่านั้น เมื่อเอามาเทียบกับทรัพย์ของเราแล้วก็เพียงกากณิกเดียวเท่านั้น ( คําว่า กากะณิก เป็นคําพูดสมัยนั้น ซึ่งหมายความว่า เท่ากับทรัพย์ที่กากีจะคาบไปได้ ) แต่เราก็มิได้ต้องการด้วยเหตุอย่างอื่น นับแต่เวลาเด็กของเราได้รับการอารักขาอย่างเพียงพอแล้ว จึงตกลงรับคํา ทําการสักการะพราหมณ์เหล่านั้นให้พักอยู่วันสองวันแล้วก็ส่งกลับไป ด้วยประการฉะนี้
เต สาวตฺถึ คนฺตฺวา - พราหมณ์ทั้ง ๘ คนนั้นกลับไปถึงเมืองสาวัตถีแล้ว ก็ได้พากันไปเรียนความแก่มิคารเศรษฐีว่า “ พวกข้าพเจ้าได้พบนางทาริกาผู้ประกอบด้วยความงาม ๕ อย่างแล้ว “ ท่านมิคารเศรษฐีเรียนถามว่า “ นางทาริกานั้น เป็นธิดาของใคร ? “ พวกพราหมณ์ตอบว่า “ เป็นธิดาของท่านธนัญชัยเศรษฐี “ มิคารเศรษฐีคิดว่าเราได้ธิดาของตระกูลใหญ่ สมควรที่เราจะไปรับเอามาเสียโดยเร็ว แล้วจึงไปเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศลเพื่อกราบทูลเชิญเสด็จไปที่เมืองสาเกตนั้นด้วย ฝ่ายพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพระราชดําริว่า “ ตระกูลใหญ่นั้น เราไปนํามาแต่ราชสํานักของพระเจ้าพิมพิสารแล้วให้อยู่ที่เมืองสาเกต การที่เราทําความยกย่องให้เกียรติแก่ตระกูลใหญ่นั้น ย่อมเป็นสิ่งสมควร “ แล้วจึงทรงรับสั่งกับมิคารเศรษฐีว่า “ แม้เราก็จักไปด้วย “ มิคารเศรษฐีกราบทูลขอบพระมหากรุณาธิคุณ แล้วก็จัดส่งสาส์นไปยังธนัญชัยเศรษฐีมีความว่า “ เมื่อข้าพเจ้าจะมานั้น แม้พระราชาก็จะทรงพระมหากรุณาเสด็จมาด้วย พลเสนาของพระราชานั้นมากหลาย ท่านจักสามารถทําการรับรองตามสมควรแก่จํานวนคนมากถึงเพียงนั้นได้หรือไม่ประการใด ? “ ฝ่ายธนัญชัยเศรษฐีส่งสาส์นตอบไปมีความว่า “ แม้ถ้าหากพระราชาสัก ๑๐ พระองค์ มีพระราชประสงค์จะเสด็จมา ก็จงเชิญเสด็จมาเถิด “ มิคารเศรษฐีได้เชิญแขกคนในพระนครใหญ่ถึงเพียงนั้น เว้นไว้แต่คนเฝ้าบ้าน เหลือนั้นเชิญไปหมด ไปพักอยู่ระหว่างทางอีกกึ่งโยชน์จะถึง แล้วส่งสาส์นไปบอกธนัญชัยเศรษฐีให้ทราบว่าพวกเรามาแล้ว ส่วนธนัญชัยเศรษฐีเมื่อทราบดังนั้น ได้ส่งเครื่องบรรณาการไปต้อนรับเป็นอันมาก แล้วปรึกษากับธิดาว่า “ หนู ! ทราบว่าบิดาสามีของเจ้ากับทั้งพระเจ้าปเสทิโกศลออกเดินทางมาแล้ว ควรจะจัดเตรียมบ้านหลังไหนไว้สําหรับบิดาสามีของเจ้า หลังไหนสําหรับพระราชา หลังไหนสําหรับหมู่มุขอํามาตย์มีอุปราชเป็นต้น “ เศรษฐีธิดานางวิสาขาเป็นหญิงฉลาด มีปัญญาคมกล้าดังกับยอดเพชร ได้ตั้งความปรารถนามาตั้งแสนกัป เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยบุญญาภินิหาร จึงสั่งการว่า “ พวกเธอจงตระเตรียมบ้านหลังโน้นไว้สําหรับรับรองบิดาสามีของฉัน หลังโน้นสําหรับรับรองพระราชา หลังโน้นสําหรับรับรองหมู่มุขอํามาตย์มีอุปราชเป็นต้น “ แล้วได้เรียกพวกทาสและกรรมกรมาจัดแจงแบ่งหน้าที่ให้ว่า “ พวกเธอเท่านี้คนจงทํางานหน้าที่รับใช้พระราชา พวกเธอเท่านี้คนจงทําหน้าที่รับใช้หมู่มุขอํามาตย์มีอุปราชเป็นต้น และพวกเธอนั่นแหละจงช่วยกันดูแลสัตว์พาหนะมีช้างม้าเป็นต้นด้วย พวกเจ้าหน้าที่ล่ามม้าเป็นต้น มาถึงแล้วเขาจักได้พากันชมมหรสพในงานมงคล
มีคําถามแทรกเข้ามาว่า เพราะเหตุไร นางวิสาขาจึงได้สั่งการอย่างนั้น ?
วิสัชนาว่า - เพราะนางวิสาขามีความประสงค์ว่า ใคร ๆ อย่าได้พูดครหาว่าเราไปในงานมงคลของนางวิสาขาแล้วไม่ได้อะไร ๆ เลย ทําแต่งานมีการเฝ้ารักษาม้าเป็นต้น ไม่ได้เที่ยวสนุกสนานอะไร
ตํทิวสเมว วิสาขาย ปิตา - ก็ในวันนั้นนั่นแล ธนัญชัยเศรษฐีบิดาของนางวิสาขาให้เชิญนายช่างทองมา ๕๐๐ คน แล้วสั่งว่า “ ขอให้ท่านทั้งหลายช่วยกันสร้างเครื่องประดับชื่อมหาลดาปสาธน์ให้แก่ธิดาของเรา - แล้วสั่งมอบทองคําชนิดที่มีสีสุกปลั่งพันลิ่ม กับเงิน แก้วมณี แก้วมุกดา แก้วประพาฬ และเพชรเป็นต้น อย่างพอดีกัน ให้แก่นายช่างทองทั้งหลายไป ฝ่ายพระเจ้าปเสนทิโกศล ครั้นเสด็จประทับอยู่ได้สักสองสามวัน ได้ทรงส่งพระราชสาส์นไปบอกแก่ธนัญชัยเศรษฐีมีความว่า “ ท่านเศรษฐี ไม่อาจที่จะเลี้ยงดูพวกเราไปนาน บัดนี้ ขอท่านเศรษฐีจงกําหนดเวลาที่จะไปของธิดาเสียเถิด “ ส่วนธนัญชัยเศรษฐีก็ได้ส่งสาส์นไปกราบทูลว่า “ บัดนี้ฤดูฝนมาถึงแล้ว ใคร ๆ ก็ไม่อาจจะสัญจรไปมาตลอดเวลา ๔ เดือน พลนิกายของพระองค์ต้องการสิ่งใด ๆ สิ่งนั้นทั้งหมดเป็นภาระธุระของข้าพระพุทธเจ้า พระองค์จักเสด็จกลับไปได้ ในเมื่อข้าพระพุทธเจ้าส่งเสด็จไป “ จําเดิมแต่นั้นมาเมืองสาเกตได้เป็นดุจว่ามีงานนักขัตฤกษ์ประจําเป็นนิจ เครื่องใช้ต่าง ๆ เช่นดอกไม้เครื่องหอมและผ้านุ่งแพรพรรณเป็นต้น ท่านเศรษฐีจัดแจงแต่งให้โดยทั่วกันตั้งต้นแต่พระราชาลงมา นั่นเทียว เพราะเหตุนั้น ชนเหล่านั้นจึงพากันคิดเกรงใจท่านเศรษฐีว่า ท่านเศรษฐีทําการอุปการะพวกเราแต่ฝ่ายเดียว โดยทํานองนี้ เดือนล่วงไปแล้ว แต่เครื่องประดับก็ยังไม่สําเร็จอยู่นั่นเอง พวกเจ้าหน้าที่ควบคุมงานได้มากราบเรียนท่านเศรษฐีว่า “ สิ่งอื่นที่จะขาดตกบกพร่องย่อมไม่ มีแต่ฟืนที่จะหุงข้าวสําหรับพลนิกายไม่เพียงพอ “ ท่านเศรษฐีได้ทราบดังนั้นจึงสั่งว่า “ พ่อมหาจําเริญทั้งหลาย พวกเธอจงพากันไปซื้อเอาโรงช้างเป็นต้นที่ชํารุดทรุดโทรมและบ้านร้าง ๆ ทั้งหลายในเมืองนี้มาหุงต้มเถิด “ แม้เมื่อพวกคนครัวทําการหุงต้มอยู่ โดยทํานองนี้กึ่งเดือนล่วงไปแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเจ้าหน้าที่ควบคุมงานจึงไปกราบเรียนท่านเศรษฐีอีกว่าฟืนหมดแล้ว ท่านเศรษฐีจึงสั่งว่า “ ในเวลาเช่นนี้ใคร ๆ ก็ไม่อาจจะไปหาฟืนมาได้ พวกเธอจงเปิดเรือนคลังผ้าแล้วเอาผ้าเนื้อหยาบมาบิดให้เป็นเกลียวชุบลงในถังน้ำมัน แล้วเอามาใช้หุงข้าวเถิด “ พวกคนครัวได้ทําอย่างนั้นอยู่ตลอดกึ่งเดือน ๔ เดือน ได้ล่วงไปแล้ว โดยอาการอย่างนี้ แม้เครื่องประดับก็ได้สําเร็จลงพอดี ด้วยประการฉะนี้
ตสฺมึ ปสาธเน จตสฺโส วชิรนาฬิโย - ก็ในเครื่องประดับนั้น ได้ประกอบรัตนะต่าง ๆ เข้าไว้ คือ เพชร ๔ ทะนาน แก้วมุกดา ๑๑ ทะนาน แก้วประพาฬ ๒๐ ทะนาน แก้วมณี ๓๓ ทะนาน เครื่องประดับได้ถึงซึ่งความสําเร็จลงด้วยรัตนะดังกล่าวมานี้ และรัตนะอย่างอื่น ๆ อีก ด้วยประการดังนี้ พวกนายช่างได้ทําเครื่องประดับโดยไม่ใช้ด้ายเลย เอาเงินมาทําแทนด้ายเครื่องประดับนั้น เมื่อสวมศีรษะแล้วตกลงไปถึงหลังเท้า ลูกดุมซึ่งประกอบเป็นรูปวงแหวนไว้ ณ ที่นั้น ๆ ทําด้วยทอง ห่วงคุมทําด้วยเงิน ณ ตรงที่กลางกระหม่อมมีวงแหวนวงหนึ่ง ตรงที่ข้างหูทั้งสองมี ๒ วง ตรงที่หลุมคอมีวงหนึ่ง ตรงที่เข่าทั้งสองมี ๒ วง ตรงที่ข้อศอกทั้งสองมี ๒ วง ตรงที่ข้างสะเอวทั้งสองมี ๒ วง ฉะนี้ ก็แลบนเครื่องประดับนั้น ได้ทําเป็นรูปนกยูงไว้ตัวหนึ่ง ที่ปีกขวามีขนปีกซึ่งทําด้วยทอง ๕๐๐ ขน ที่ปีกซ้ายมี ๕๐๐ ขน จะงอยปากทําด้วยแก้วประพาฬ นัยน์ตาทั้งสองทําด้วยแก้วมณี สร้อยคอและแววหางทําด้วยแก้วมณีเหมือนกัน ก้านขนปีกทําด้วยเงิน แข้งทั้งสองทําด้วยเงินเหมือนกัน รูปนกยูงนั้นติดอยู่ตรงกลางกระหม่อมของนางวิสาขา ปรากฏเป็นราวกะว่านกยูงยืนรําแพนอยู่บนยอดภูเขา เสียงแห่งก้านขนปีกพันหนึ่งนั้นดังแผ่ไปเหมือนเพลงขับอันเป็นทิพ และเหมือนเสียงก้องของดนตรีอันประกอบด้วยองค์ ๕ คนที่เข้าไปดูใกล้ ๆ เท่านั้นจึงจะรู้ ว่านกยูงนั้นไม่ใช่นกยูงจริง เฉพาะเครื่องประดับนั้นมีราคา ๙ โกฏิ หรือ ๙๐ ล้าน ให้เป็นมูลค่าหัตถกรรม แก่นายช่างหนึ่งแสน รวมเป็น ๙ โกฏิ หนึ่งแสน ด้วยประการฉะนี้
แสดงพระธรรมเทศนามาในเรื่องมหาอุบาสิกาวิสาขา ยังไม่สุดสิ้นระบิลความ แต่เป็นการสมควรแก่เวลา จึงขอยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงนี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้
( เริ่มแต่ ๑๒ ก.ย. – ๑๓ ก.ย. ๒๕๐๕ เวลา ๐๑.๓๐ น. )
เรื่อง พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา:ท้าวสักกเทวราช กัณฑ์ที่ ๒
พระธรรมบทเทศนา พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา (๗) เรื่องท้าวสักกเทวราช [๒๑] กัณฑ์ที่ ๒ -------------------------------- นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสัมพุทธสฺส. อปุปมาเทนํ มฆวา เทวานํ เสฎฺฐตํ คโต อปฺปมาทํ ปสํสนฺติ ปมาโท ครหิโต สทาติ.
อนุสนธิพระธรรมเทศนา ณ บัดนี้ จะวิสัชนาพระธรรมเทศนาเรื่อง ท้าวสักกเทวราช กัณฑ์ที่ ๒ โดยอนุสนธิสืบเนื่องมาจากกัณฑ์ที่ ๑ ซึ่งได้วิสัชนามาแล้ว เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลส่วนธรรมเทศนามัย และขอเชิญท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย จงตั้งใจสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลบุณยนฤธีส่วนธรรมสวนมัยสืบไป ณ บัดนี้ ดําเนินความว่า -
สุชาตา ปน กาลํ กตฺวา - ส่วนนางสุชาดานั้น เมื่อถึงแก่มรณกรรมแล้ว ได้ไปบังเกิดเป็นนางนกยางอยู่ที่ซอกเขาแห่งหนึ่ง ท้าวสักกเทพราชา เมื่อทรงตรวจทิพเนตรดูนางบาทบริจาริกา คือ ภริยาของพระองค์ ทรงทราบว่า นางสุธัมมาได้มาบังเกิดแล้วบนดาวดึงสสวรรค์นี้ นางสุนันทาและนางสุจิตตาก็ได้มาบังเกิดแล้วเช่นเดียวกัน ทรงพระดําริว่า นางสุชาดาไปบังเกิดที่ไหนหนอ ? ทรงทอดพระเนตรเห็นนางสุชาดานั้นไปบังเกิดเป็นนางยางอยู่ที่ซอกเขานั้น จึงทรงพิจารณาว่า แม่สุชาดานี้ เป็นสตรีที่โง่เขลา ไม่ได้ทําบุญอะไร ๆ ไว้เลย บัดนี้จึงได้ไปบังเกิดในกําเนิดสัตว์เดียรัจฉาน แม้คราวนี้ ควรแล้วที่เราจะออกอุบายให้เธอทําบุญ แล้วนํามาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ ครั้นแล้วจึงได้ทรงจําแลงเพศไม่ให้ใคร ๆ รู้จัก ไปยังสํานักแห่งนางนกยางนั้นแล้วตรัสถามว่า “ เจ้าทําอะไรอยู่ ณ ที่นี้ ? “ นางนกยาง ถามว่า “ นาย ! ท่านคือใคร “ ท้าวสักกะตรัสบอกว่า “ ฉันคือมฆมาณพ สามีของเธอ “ นางนกยางถามว่า “ ตายคุณพี่ ! คุณพี่ไปเกิดที่ไหนคะ ? “ ท้าวสักกะตรัสตอบว่า “ ฉันไปเกิดบนเทวโลกชั้นดาวดึงส์ ก็เธอไม่ทราบสถานที่ที่พวกหญิงสหายของเธอไปเกิดดอกหรือ ? “ นางนกยางตอบว่า “ ดิฉันไม่ทราบ เจ้าข้า “ ท้าวสักกะตรัสถามว่า “ หญิงสหายของเธอแม้ทั้งหมดนั้น ได้ไปเกิดในสํานักของฉันแล้ว นั่นเทียว เธออยากจักเห็นหญิงสหายเหล่านั้นไหมเล่า ? “ นางนกยางเรียนว่า “ ดิฉันจักไปที่นั้นได้อย่างไร ท้าวสักกเทพราชาตรัสว่า “ ฉันจักนําเธอไป ณ ที่นั้น “ แล้วทรงนําเอานางนกยางไปสู่เทวโลก ทรงปล่อยไว้ที่ขอบสระนันทาโบกขรณี แล้วตรัสบอกแก่พระอัครมเหสีทั้ง ๓ นอกนี้ว่า “ พวกเธออยากจะเห็นนางสุชาดาหญิงสหายของพวกเธอไหม ? “ พระอัครมเหสีทั้ง ๓ ทูลถามว่า “ นางสุชาดานั้นอยู่ไหนเพค่ะ ? “ ท้าวสักกะตรัสบอกว่า “ อยู่ที่ขอบสระนันทาโบกขรณี “ พระอัครมเหสี แม้ทั้ง ๓ พระองค์ พากันเสด็จไปที่สระนันทาโบกขรณีนั้นแล้ว พากันทรงเยาะเย้ยว่า “ โอ ! ผลแห่งการประดับแต่งตัวของแม่เจ้าเป็นเช่นนี้เทียวหรือ คราวนี้จงดูจงอยปาก จงดูแข้งขา จงดูเท้าของเธอซี ลําตัวของเธอช่างงามตาละซีหนา “ ดังนี้แล้วก็พากันเสด็จกลับไป
ปุน สกฺโก ตสฺสา สนฺติกํ คนฺตฺวา - ส่วนท้าวสักกเทพราชาได้เสด็จไปยังสํานักของนางนกยางนั้นอีก แล้วตรัสถามว่า “ เธอได้เห็นพวกหญิงสหายของเธอไหม ? “ นางนกยางทูลตอบว่า “ ได้เห็นเพคะ เขาพากันเยาะเย้ยหม่อมฉัน แล้วก็กลับไป ขอพระองค์จงทรงนําหม่อมฉันกลับไปที่เดิมเสียเถิดเพคะ “ ท้าวสักกะจึงทรงนํานางนกยางนั้นไปที่ซอกเขาตามเดิม ทรงปล่อยลงที่น้ำแล้วตรัสถามว่า “ เธอได้เห็นสมบัติของพวกหญิงสหายของเธอทั้งนั้นไหม ? ” นางนกยางทูลตอบว่า “ หม่อมฉันได้เห็นแล้วเพคะ “ ท้าวสักกะทรงแนะนําว่า “ แม้เธอก็ควรทําอุบายที่จะไปเกิดบนเทวโลกนั้น “ นางนกยางทูลถามว่า “ จะทําอย่างไรเพคะ ? “ ท้าวสักกะตรัสถามว่า “ เธอจักรับรักษาโอวาทที่ฉันจะให้ได้ไหม ? “ นางนกยางทูลรับว่า “ จักรับรักษาให้จงได้เพคะ “ ลําดับนั้น ท้าวสักกเทพราชาได้ทรงประทานศีล ๕ ให้แก่นางนกยางนั้นแล้ว ทรงสั่งกําชับว่า “ เธอจงอย่าประมาทรักษาไว้ให้ดี “ แล้วก็เสด็จกลับไป จําเดิมแต่กาลนั้นมา นางนกยางก็แสวงหากินแต่เฉพาะปลาที่ตายเองเท่านั้น ต่อมาอีก ๒ -๓ วัน ท้าวสักกะก็ได้เสด็จไปเพื่อทดลองนางนกยางนั้นดู ได้ทรงทําเป็นปลาตายนอนหงายอยู่บนหลังหาดทราย นางนกยางนั้นเห็นปลานั้นแล้วจึงได้คาบเอาด้วยสําคัญว่าเป็นปลาตาย ปลาได้กระดิกหางในขณะที่นางนกยางจะกลืนกิน นางนกยางพอรู้ว่าเป็นปลาเป็นก็ปล่อยลงในน้ำไป ท้าวสักกะทรงรอเวลาอยู่หน่อยหนึ่ง แล้วได้ทรงทําเป็นปลาตายนอนหงายอยู่ข้างหน้าของนางนกยางนั้นอีก นางนกยางได้คาบเอาปลานั้นด้วยสําคัญว่าเป็นปลาตายอีก ครั้นเห็นปลากระดิกหางในขณะจะกลืนกิน รู้ว่าเป็นปลาเป็นแล้วก็ปล่อยไป ท้าวสักกะทรงทดลองด้วยอุบายอย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง ครั้นทรงทราบว่านางนกยางรักษาศีลได้เป็นอย่างดี จึงทรงทําให้นางรู้จักพระองค์แล้วทรงแนะนําว่า “ ฉันมาเพื่อจะทดลองเธอดู เธอจงรักษาศีลให้ดี เมื่อเธอรักษาศีลได้ดีอยู่อย่างนี้ ไม่นานเท่าไรก็จักได้ไปบังเกิดในสํานักของฉัน จงอย่าประมาทนะ “ ดังนี้แล้วก็เสด็จกลับไป
สา ตโต ปฏฺฐาย - จําเดิมแต่กาลนั้นมา นางนกยางนั้น บางครั้งก็ได้ปลาที่ตายเอง บางครั้งก็ไม่ได้ เมื่อไม่ได้ปลาตายเอง อยู่มาไม่นานเมื่อกาลล่วงไปสัก ๒ - ๓ วัน ก็ผอมบางซูบซีดลงจนตาย ด้วยผลแห่งศีลนั้น นางได้ไปบังเกิดเป็นธิดาของนายช่างหม้อในเมืองพาราณสี จําเนียรกาลต่อมา เมื่อธิดาของนายช่างหม้อนั้นมีอายุได้ ๑๕ - ๑๖ ปี ท้าวสักกเทพราชาทรงรําพึงว่า “ นางนกยางนั้นไปเกิด ณ ที่ไหนหนอ “ ครั้นทรงเห็นแล้ว จึงทรงดําริว่า บัดนี้เราควรจะไป ณ ที่นั้น ครั้นแล้วทรงบรรทุกยานให้เต็มด้วยรัตนะ ๗ ประการ อันปรากฏให้เห็นเป็นรูปฟักเหลือง แล้วทรงขับยานเข้าไปในเมืองพาราณสี ประกาศโฆษณาไปตามถนนว่า “ แม่และพ่อทั้งหลาย เชิญมารับเอาฟักเหลืองเถิด เชิญมารับเอาฟักเหลืองเถิด “ เมื่อชนทั้งหลายเอาถั่วเขียวและถั่วขาวเป็นต้นมาขอแลก ท้าวสักกะทรงรับสั่งกับเขาว่า “ เรามิได้ให้ด้วยคิดเอามูลค่า “ เมื่อชนทั้งหลายถามว่า “ ท่านจะให้อย่างไร ? “ ทรงรับสั่งกับชนทั้งหลายว่า “ ฉันจะให้แก่สตรีผู้รักษาศีล “ เมื่อชนทั้งหลายถามว่า “ นายขอรับ ที่ชื่อว่าศีลนั้นเป็นอย่างไร สีดําหรือสีเขียวเป็นต้นนั้นหรือชื่อว่าศีล “ ทรงรับสั่งว่า “ ท่านทั้งหลาย ศีลก็ไม่รู้จักว่าคืออะไร จักพากันรักษาศีลนั้นได้อย่างไร ? แต่อย่างไรก็ตามฉันจักให้ฟักเหลืองแก่สตรีที่รักษาศีล “ ชนทั้งหลายบอกว่า “ นายขอรับ แม่คนนี้ เธอเป็นธิดาของนายช่างหม้อ เที่ยวพูดไปว่า ฉันรักษาศีล ท่านจงให้แก่แม่คนนี้เถิด “ ฝ่ายธิดาของนายช่างหม้อนั้น ก็ได้พูดกับท้าวสักกะว่า “ ถ้าเช่นนั้น ท่านจงให้แก่ดิฉันเถิด นายคะ “ ท้าวสักกะตรัสถามว่า “ เธอเป็นใคร “ ธิดานายช่างหม้อตอบว่า “ ดิฉันคือสตรีที่ไม่ละเว้นศีล ๕ เจ้าข้า “ ท้าวสักกะตรัสว่า “ ของเหล่านี้ฉันนํามาเพื่อเธอนั่นเทียว “ ครั้นแล้วก็ทรงขับยานไปยังเรือนของธิดานายช่างหม้อ ทรงประทานทรัพย์อันเทวดาจึงให้ด้วยรูปเป็นฟักเหลือง เพราะทําให้เป็นสิ่งที่คนอื่นๆ จะลักเอาไปไม่ได้ ทรงแสดงให้นางรู้จักพระองค์แล้ว ทรงแนะนําว่า ทรัพย์นี้สําหรับเป็นเครื่องเลี้ยงชีพของเธอ เธอจงรักษาศีล ๕ อย่าให้ขาดเป็นท่อนได้ ดังนี้แล้วก็เสด็จกลับไป ด้วยประการฉะนี้
สาปิ ตโต จวิตฺวา - ฝ่ายธิดาของนายช่างหม้อนั้น ครั้นจุติเคลื่อนไปจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้ไปบังเกิดเป็นธิดาของอสูรชั้นหัวหน้าในภพอสูร ในเรือนของอสูรผู้มีเวรกันกับท้าวสักกะ เพราะนางได้รักษาศีลมาเป็นอย่างดีในสองชาติที่ล่วงมาแล้ว นางจึงเป็นสตรีที่มีรูปสวยมีผิวพรรณเหมือนทอง ประกอบด้วยรูปสิริลักษณ์อันไม่สาธารณ์ทั่วไปแก่สตรีอื่น จอมอสูรนามว่าเวปจิตติ พูดกับบรรดาพวกอสูรที่พากันมาขอว่า “ เธอทั้งหลายไม่สมควรแก่ธิดาของเรา “ ดังนี้แล้วไม่ยอมให้ธิดานั้นแก่ใครๆ ดําริว่า ธิดาของเราจักเลือกสามีผู้สมควรแก่ตนด้วยตนเที่ยว ดังนี้แล้วได้นัดหมายให้พลเมืองชาวอสูรมาประชุมกัน แล้วได้มอบพวงดอกไม้ให้ในมือของธิดาพร้อมกับสั่งว่า “ เจ้าจงเลือกเอาสามีผู้สมควรแก่เจ้าด้วยตนเองเถิด “ ขณะนั้น ท้าวสักกเทพราชา ทรงตรวจดูถึงสถานที่ที่นางสุชาดาไปบังเกิด ครั้นทรงทราบพฤติการณ์ดังนั้นแล้ว ทรงดําริว่า บัดนี้เราควรจะไปนําเอานางสุชาดานั้นมา ดังนี้แล้วจึงได้ทรงนิรมิตเพศเป็นอสูรแก่แล้วไปยืนอยู่ที่ท้ายบริษัท ฝ่ายอสุรกัญญาสุชาดานั้นมองไปข้างโน้นข้างนี้ พอเห็นอสูรแก่เท่านั้น อันความรักซึ่งเกิดขึ้นด้วยอํานาจบุพเพสันนิวาสท่วมทับหทัย เป็นดุจถูกห้วงน้ำใหญ่ท่วมทับฉะนั้น จึงตัดสินใจได้ทันทีว่า คนนี้สามีของเรา แล้วก็โยนพวงดอกไม้ไปบนอสูรแก่นั้น พวกอสูรทั้งหลายโจทก์กันว่า พระราชาของเราไม่ได้ผู้สมควรแก่พระราชธิดาของพระองค์ตลอดกาลถึงปานนี้ คราวนี้ทรงได้สมพระราชประสงค์แล้ว แต่เจ้าคนแก่ยิ่งเสียกว่าปู่นี้นั่นแลเป็นผู้สมควรแก่พระราชธิดาของพระองค์ พากันละอายใจ จึงได้พากันหลบหนีไปเสีย ฝ่ายท้าวสักกเทพราชาทรงจับหัตถ์ของนางสุชาดาแล้วทรงบันลือขึ้นว่า “ เราคือท้าวสักกะ “ แล้วพานางเหาะไปในอากาศเวหาส์ พวกอสูรทั้งหลายพูดกันว่า “ พวกเราถูกท้าวสักกะหลอกเสียแล้ว “ จึงพากันติดตามท้าวสักกะไป มาตลีสังคาหกเทพบุตรได้นําเวชยันตราชรถมารอไว้ในระหว่างทาง ท้าวสักกะจึงทรงประคองนางสุชาดาขึ้นบนเวชยันตราชรถนั้น แล้วได้ทรงมุ่งหน้าไปสู่เทพนคร ครั้นเวลาที่ท้าวสักกะเสด็จถึงสิมพลีวัน ป่าไม้งิ้ว ลูกครุฑทั้งหลายได้ยินเสียงราชรถแล้ว พากันตกใจกลัว ร้องเสียงดังระงมไป ท้าวสักกะได้ทรงสดับเสียงลูกครุฑเหล่านั้นจึงตรัสถามมาตลีเทพบุตรว่า “ นั่นอะไรมันร้อง ? “ มาตลีเทพบุตรทูลว่า “ พวกลูกครุฑ พระพุทธเจ้าข้า “ ท้าวสักกะทรงซักว่า ” เพราะเหตุไรจึงร้อง ? “ มาตลีเทพบุตรทูลว่า “ มันกลัวตายเพราะได้ยินเสียงราชรถ พระพุทธเจ้าข้า “ ท้าวสักกะทรงรับสั่งแก่มาตลีเทพบุตรว่า “ นกมีประมาณถึงเท่านี้ ถูกกําลังเร็วของรถให้กระเทือนแล้ว อย่าได้ฉิบหายตายไปเพราะอาศัยเราผู้เดียวเลย เธอจงกลับรถเสีย “ มาตลีเทพบุตรให้สัญญาด้วยประฏักแก่ม้าสินธพพันหนึ่ง กลับรถคืนมา พวกอสูรทั้งหลายที่ติดตามมา ครั้นเห็นดังนั้น สําคัญว่าท้าวสักกะแก่หนีมาแต่อสุรบุรี คราวนี้กลับรถคืนมาแล้ว เขาคงจักได้เครื่องอุปถัมภ์อย่างแน่นอน ดังนี้แล้วก็พากันกลับลงไปยังอสุรบุรี ตามทางที่มาแล้วนั่นแล ต่อมาก็ไม่กล้าที่จะเงยศีรษะขึ้นไปอีก ด้วยประการฉะนี้
สกฺโกปิ สุชํ อสุรกญญํ เทวนครํ เนตฺวา - ฝ่ายท้าวสักกเทพราชาก็ทรงนํานางสุชาดาอสุรกัญญาไปสู่เทพนคร แล้วได้ทรงสถาปนาไว้ในตําแหน่งหัวหน้าของมวลนางเทพอัปสร ๒ โกฏิกึ่ง ส่วนพระนางสุชาดาได้ทรงขอพระพรไว้กับท้าวสักกเทพราชาว่า “ ขอเดชะ ข้าแต่มหาราชเจ้าบนเทวโลกสถานนี้ หม่อมฉันไม่มีมารดาบิดา หรือพี่น้องชายพี่น้องหญิงเลย พระองค์จะเสด็จไป ณ สถานที่ใด ๆ ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดพาหม่อมฉันไป ณ สถานที่นั้น ๆ ด้วยเพค่ะ “ ท้าวสักกเทพราชาทรงพระราชทานปฏิญญาให้แก่พระนางสุชาดาตามที่ทรงขอพระราชทานนั้น ก็จําเนียรกาลตั้งแต่นั้นมา ครั้นถึงคราวไม้จิตตปาฏลี คือต้นแคฝอยในดาวดึงสพิภพ ผลิดอกออกผล พวกอสูรทั้งหลายก็พากันขึ้นไปยังเมืองสวรรค์ เพื่อจะทํายุทธสงครามกับท้าวสักกะผู้จอมเทวดา เพราะสัญญาอดีตคือความจําหมายตั้งแต่ก่อนว่า ขณะนี้เป็นเวลาที่ต้นปาริฉัตตกะอันเป็นไม้ทิพของเราทั้งหลายผลิดอกออกผล ดังนี้ ส่วนท้าวสักกเทพราชา ภายใต้มหาสมุทรได้ทรงให้นาคทั้งหลายอารักขา ต่อจากนั้นขึ้นมาทรงให้ครุฑทั้งหลายอารักขา ต่อจากนั้นทรงให้พวกกุมภัณฑ์อารักขา ต่อจากนั้นทรงให้พวกยักษ์อารักขา ต่อจากนั้นทรงให้ท้าวมหาราชทั้ง ๔ อารักขา ส่วนเบื้องบนกว่าเขาทั้งหมดได้ทรงประดิษฐานรูปจําลองพระอินทร์ ซึ่งมีพระวชิราวุธในพระหัตถ์ไว้ประจําพระทวารแห่งเทพนครทุกๆ พระทวาร ส่วนพวกอสูรทั้งหลาย แม้จะได้รบมีชัยชนะกับนาคทั้งหลายเป็นต้นมาแล้วตามลําดับก็ตาม ครั้นไปเห็นรูปจําลองพระอินทร์แต่ไกล ก็เข้าใจว่าท้าวสักกะเสด็จออกสนามรบแล้วจึงพากันหนีกลับไปเสีย ด้วยประการฉะนี้
สมเด็จพระบรมศาสดา ครั้นทรงนําอดีตนิทานเรื่องมฆมาณพมาแสดงดังนี้แล้ว ได้ทรงประทานพระพุทธโอวาทแก่เจ้ามหาลิ ต่อไปว่า “ ดูก่อน เจ้ามหาลิ มฆมาณพได้ปฏิบัติปฏิปทาอันไม่ประมาทมาแล้วอย่างนี้ อนึ่ง มฆมาณพนี้ไม่ประมาทแล้วอย่างนี้ จึงได้บรรลุถึงซึ่งความเป็นใหญ่เห็นปานนี้ ได้ครองทิพสมบัติในเทวโลกทั้ง ๒ ชั้น ชื่อว่าความไม่ประมาทนี้ บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นสรรเสริญ เพราะว่าการบรรลุถึงซึ่งคุณวิเศษต่างๆ ทั้งที่เป็นโลกิยะและเป็นโลกุตระสิ้นทั้งมวลนั้น ย่อมสําเร็จได้เพราะอาศัยความไม่ประมาทเป็นมูลฐาน ” ครั้นแล้วเมื่อจะทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดเจ้ามหาลิ จึงได้ตรัสพระพุทธนิพนธคาถาเป็นปัจฉิมพจน์ ดังนี้
อปฺปมาเทน มฆวา เทวานํ เสฎฺฐตํ คโต อปฺปมาทํ ปสํสนฺติ ปมาโท ครหิโต สกา.
ท้าวมฆวาได้ทรงบรรลุถึงซึ่งความเป็นผู้ประเสริฐกว่าทวยเทพทั้งหลาย ด้วยความไม่ประมาท บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญความไม่ประมาท ส่วนความประมาทบัณฑิตทั้งหลายครหานินทาในกาลทุกเมื่อ.
เจ้าลิจฉวีพระนามว่ามหาลิ ทรงส่งญาณไปตามกระแสพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี ในเวลาจบพระธรรมเทศนาพุทธนิพนธคาถา ก็ได้ทรงดํารงอยู่ในโสดาปัตติผล แม้พุทธบริษัทซึ่งมาประชุมพร้อมกัน ก็ได้สําเร็จเป็นพระโสดาบันอริยบุคคลเป็นต้นเป็นอันมาก ด้วยประการฉะนี้แล
จบนิทาน
ลําดับนี้ จะได้วิสัชนาอรรถาธิบายความในท้องนิทานและในพระพุทธนิพนธคาถา โดยอาศัยหลักอรรถกถานัย และโดยอัตตโนมัตยาธิบาย เพื่อเฉลิมเพิ่มเติมสติปัญญาฉลองศรัทธาบารมี เพิ่มพูนกุศลบุญราศีส่วนธรรมสวนมัย แก่สาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายสืบต่อไป
ในนิทานเรื่องนี้นิยมเรียกชื่อกัน ๒ อย่าง คือ เรื่องท้าวสักกเทวราชนี้อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง เรียกว่าเรื่องมฆมาณพ ที่นิยมเรียกดังนั้น โดยมีความหมายว่า เพราะสมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาปรารภถึงท้าวสักกะผู้เป็นพระราชาแห่งเทวดาทั้งหลายบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสพิภพ จึงเรียกว่า “ เรื่องท้าวสักกเทวราช “ อนึ่งในท้องนิทานนี้ สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงเล่าเรื่องบุพกรรมของท้าวสักกะเทวราช แต่เมื่อครั้งเป็นมนุษย์มีชื่อว่ามฆมาณพโดยพิสดาร ดังนั้น เมื่อเพ่งถึงตอนอดีตนิทานจึงนิยมเรียกขานกันว่าเรื่องมฆมาณพ ฉะนี้ แต่โดยเนื้อหาของเรื่องแล้วก็หมายเอาเรื่องเดียวกัน ด้วยประการฉะนี้ ส่วนประเด็นที่ควรยกขึ้นมาอรรถาธิบายประกอบในเรื่องนี้มีข้อความเป็นลําดับไปดังนี้
ประการที่ ๑ ไม่ใช่เฉพาะแต่ในสมัยปัจจุบันนี้เท่านั้น ที่คนทั้งหลายสงสัยว่า ท้าวสักกเทวราชหรืออีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า พระอินทร์นั้น มีอยู่จริงหรือไม่หนอ ? แม้แต่ในสมัยพุทธกาลโน้น ก็มีคนสงสัยเช่นเดียวกันนี้ จึงเห็นตัวอย่างในนิทานเรื่องนี้ เจ้าลิจฉวีพระนามว่ามหาลิ ได้ทรงสดับพระสุตตันตเทศนา เรื่องสักกปัญหสูตร ในคัมภีร์ทีฆนิกาย มหาวรรค ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงด้วยพระองค์เอง และในพระสูตรนั้นทรงพรรณนาทิพสมบัติของท้าวสักกเทวราชไว้อย่างมากมาย เจ้ามหาลิ จึงทรงสงสัยขึ้นว่า สมเด็จพระผู้มีภาคเจ้า ได้ทรงเห็นมาเองหรืออย่างไร จึงได้ทรงพรรณนาเช่นนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จะทรงรู้จักท้าวสักกะหรือไม่ประการใดหนอ ? ครั้นทรงได้โอกาส จึงได้เสด็จไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา แล้วทรงกราบทูลถามเรื่องของพระทัยต่อสมเด็จพระพุทธองค์ ดังที่ได้วิสัชนามาแล้วในท้องนิทาน นี้แสดงให้เห็นว่า คนสมัยพุทธกาลโน้น ก็มีความสงสัยข้องใจกันว่า ท้าวสักกะหรือพระอินทร์นั้นจะมีจริง หรือไม่ประการใด
หากจะมีผู้ข้องใจสงสัยถามขึ้นในสมัยนี้ว่า ท้าวสักกะหรือพระอินทร์นั้นมีจริงหรือไม่ ? ดังนี้ ถ้าผู้จะวิสัชนาปัญหานี้เป็นเพียงคนสามัญธรรมดา ก็ย่อมจะวิสัชนาไม่ได้ หรือได้ก็ย่อมจะไม่ตรงตามความเป็นจริง เพราะเป็นสิ่งที่เหลือวิสัยของสามัญมนุษย์ แต่อาจจะวิสัชนาได้โดยอาศัยหลักฐานหรือตําราที่บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นได้แสดงไว้ เช่นที่ปรากฏในนิทานเรื่องนี้ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงวิสัชนาแก้ข้อข้องพระทัยของเจ้ามหาลิ ซึ่งมีใจความว่า เมื่อเจ้ามหาลิทรงกราบทูลถามว่า พระองค์ได้ทรงเห็นท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทวดามาด้วยพระองค์หรือ ? สมเด็จพระบรมศาสดา ได้ตรัสตอบว่าได้เห็นมาด้วยพระองค์เอง เมื่อเจ้ามหาลิทรงสงสัยกราบทูลซักอีกว่า ท้าวสักกะที่พระองค์ทรงเห็นมานั้น จักเป็นท้าวสักกะเทียมเสียกระมัง เพราะว่าท้าวสักกะจริง ๆ นั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก ? สมเด็จพระบรมศาสดาได้ตรัสตอบเจ้ามหาลิว่า อาตมารู้จักท้าวสักกะด้วย รู้จักธรรมะที่ทําให้เป็นท้าวสักกะด้วย และเพราะท้าวสักกะได้สมาทานประพฤติปฏิบัติธรรมเหล่าใดมาจึงได้ถึงซึ่งความเป็นท้าวสักกะ อาตมารู้ธรรมะเหล่านั้นด้วย ครั้นทรงตอบอย่างนี้แล้ว ก็ทรงอรรถาธิบายขยายความหมายไปอีกโดยพิสดาร ดังวิสัชนามาแล้วในท้องนิทานนั้น นี้เป็นการตอบข้อสงสัยที่สมเด็จพระบรมศาสดาได้ตรัสตอบมาแล้วเป็นตัวอย่าง อันบุคคลอื่น ๆ ที่ต่ำลงมากว่าสมเด็จพระพุทธองค์แล้ว จะตอบให้ดีกว่านี้ หรือให้ผู้ข้องใจหายความสงสัยดียิ่งกว่านี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ ส่วนว่าผู้สงสัยจะหายความสงสัยหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่สุดวิสัย ซึ่งเปรียบเหมือนกับการบอกคนเสียจักษุให้สิ้นสงสัย ในสีต่าง ๆ มีสีขาว สีเหลือง เป็นต้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ฉะนั้น แต่เมื่อนําคนมีจักษุไปให้เห็นสีต่าง ๆ แล้ว เขาย่อมสามารถรู้จักสีได้ว่านั้นเป็นสีขาว นี้เป็นสีเหลืองเป็นต้น ฉันใด เมื่อสมเด็จพระพุทธองค์ได้ทรงวิสัชนาแก้ข้อข้องใจให้ทราบแล้ว ผู้มีปัญญาจักษุหรือทิพจักษุ เป็นต้น ก็ย่อมสามารถจะสิ้นข้อข้องใจความสงสัยได้ ฉันนั้น
ประการที่ ๒ สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงแสดงวตบท คือ ข้อปฏิบัติอันเป็นมูลฐานที่จะส่งเสริมให้ได้เป็นท้าวสักกะหรือพระอินทร์ไว้ ๗ ประการ ซึ่งนับว่าเป็นบทธรรมอันกัลยาณชนทั้งหลายควรจดจํา และนําไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อเป็นพื้นฐานของแต่ละบุคคล ถ้าได้พิจารณาดูด้วยความไม่ประมาทแล้ว ก็จะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหลือวิสัยของสามัญชนคนธรรมดาอย่างเรา ๆ นี้ ดังจะได้นํามาอรรถาธิบาย ต่อไปนี้ วตบท ๗ ประการนั้น คือ ๑. การบํารุงเลี้ยงดูมารดาบิดา ๒. การประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ๓. การพูดคําสัจ ๔. การพูดคําอ่อนหวาน ๕. การพูดคําเสริมสร้างสามัคคี ๖. การกําจัดความตระหนี่ ๗. การหักห้ามความโกรธ อธิบายว่า มารดาบิดาผู้สร้างบุตรธิดาให้เกิดมาในโลกนั้น เปรียบเหมือนรากไม้ที่เป็นมูลฐานให้เกิดดอกออกผล ถ้าต้นไม้ได้รับการบํารุงรากดี มันย่อมเผล็ดดอกออกผลให้ตามฤดูกาล และอุดมสมบูรณ์ดี ฉันใด บุคคลผู้มีความเคารพในมารดาบิดา และปรนนิบัติบํารุงท่านอย่างดีแล้ว ไม่ใช่แต่เพียงว่าเป็นการช่วยให้ท่านมีความสุขสบายเท่านั้น แต่เป็นข้อปฏิบัติที่ส่งผลให้บุตรธิดาเจริญรุ่งเรือง เป็นสิริมงคล อันจะดลบันดาลให้บุตรธิดาได้สําเร็จสิ่งที่ต้องประสงค์อันไม่เหลือวิสัย เหมือนต้นไม้ที่ได้รับการบํารุงรากดีแล้ว ย่อมเผล็ดผลให้อย่างอุดมสมบูรณ์ ฉันนั้น ด้วยเหตุนั้นวตบทข้อที่ ๑ คือการบํารุงมารดาบิดา จึงเป็นคุณธรรมอันเหมาะสมและจําเป็นแก่สามัญชนโดยทั่วไปไม่มีการยกเว้น การเคารพอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลนั้นก็นับเป็นคุณสมบัติของคนเราอีกประการหนึ่ง อันผู้ใหญ่ในตระกูล เช่น น้า อาว์ ป้า ลุง หรือบุคคลอื่น ๆ ที่เป็นผู้ใหญ่กว่าโดยวัยย่อมเป็นบุคคลที่ควรแก่การเคารพนับถือประจําตระกูล อันผู้น้อยในตระกูลจะพึงเคารพกราบไหว้ ตามสมควรแก่ฐานะ ไม่เย่อหยิ่ง จองหอง ดูหมิ่นดูแคลน จึงจะเป็นสิริมงคลดลบันดาลให้เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ดังนั้นท่านจึงจัดเป็นวตบทข้อที่ ๒ แก่คนทุกคนจะพึงถือประพฤติปฏิบัติ การพูดคําสัจก็ดี การพูดคําไพเราะอ่อนหวานก็ดี การพูดคำเสริมสร้างสามัคคีก็ดี นับเป็นคุณสมบัติทางวาจาแต่ละประการ ถ้าวาจาที่ปราศจากคําสัจ ปราศจากคําไพเราะอ่อนหวาน และเป็นวาจาที่ยุแหย่ให้แตกสามัคคีกันแล้ว ย่อมเป็นวาจาที่ไร้ค่า ขาดความเชื่อถือ ไม่ก่อให้เกิดความชื่นบานสําราญใจ เพราะฉะนั้น ท่านจึงจัดเป็นวตบทข้อที่ ๓-๔-๕ ตามลําดับ และเป็นคุณสมบัติอันคนทุกคนจะพึงฝึกฝนอบรมตนให้เป็นคนมีนิสัยใช้วาจาเช่นนั้น อันจะนําผลประโยชน์มาสนองตนเองทั้งชาตินี้และชาติหน้า แม้สมเด็จพระบรมศาสดาก็ได้ตรัสพระพุทธภาษิตไว้ในนันทวิสาลชาดกว่า “ มนาปเมว ภาเสยฺย นามนาปํ กุทาจนํ ” จึงพูดแต่คําอันเป็นที่พอใจคนเท่านั้น ทุกกาลทุกสมัย จงอย่าได้พูดคําอันไม่เป็นที่พอใจ และทรงแสดงไว้ในคัมภีร์ต่าง ๆ เป็นต้นว่า “ สจฺจํ เว อมตาวาจา “ คําสัจเป็นวาจาที่ไม่ตาย “ สจฺจํ หเว สาธุตรํ รสานํ “ คําสัจนั่นแลมีรสชาติดีกว่ารสทั้งหลาย ความตระหนี่หรือความหวงแหนทรัพย์สมบัติไม่ใช่ทรัพย์ให้บังเกิดผลตามสมควรตามหน้าที่ ทรัพย์นั้นก็จะไม่ต่างอะไรกับถ่านไฟ และเป็นการทําให้ทรัพย์สินเป็นหมัน ไม่เกิดเป็นคุณประโยชน์ทั้งแก่ตนและคนอื่น ยิ่งกว่านั้น คนตายแล้วก็นําทรัพย์สินติดตัวไปไม่ได้ การใช้จ่ายทรัพย์ให้เป็นคุณประโยชน์ตามสมควรแก่วิสัยและฐานะ ไม่ให้มากเกินจนถึงกับฟุ่มเฟือย ไม่ให้น้อยเกินจนถึงกับอัตคัดขาดแคลน ด้วยการยอมเสียสละในทางที่ควรเสียสละจึงเป็นสิ่งจําเป็นของคนทั่วไป ก็การที่จะเสียสละทรัพย์สินให้เป็นคุณประโยชน์ได้ต้องอาศัยการคอยกําจัดปัดเป่ามัจฉริยะความตระหนี่ ออกจากจิตสันดาน โดยพิจารณาให้เห็นโทษของความตระหนี่ เห็นอานิสงส์ของการเสียสละเป็นต้น ดังนั้นการคอยกําจัดความตระหนี่ ท่านจึงจัดเป็นวตบทข้อที่ ๕ ความโกรธ คือความไม่ชอบใจในอารมณ์อันไม่น่าปรารถนานับเป็นไฟกองหนึ่ง เพราะเมื่อเกิดในสันดานของคน ถ้าอดกลั้นไว้ไม่ได้ก็แลบออกมาทางมือทางเท้า แล้วย่อมเผาให้เกิดความร้อนรนกระวนกระวายภายในใจ หรือทางปาก ลุกลามไปไหม้คนอื่น ๆ ให้พลอยเร่าร้อนกระวนกระวายไปตาม ๆ กัน ความโกรธเกิดขึ้นแก่ผู้ใด ทําให้ผู้นั้นเสียอัธยาศัยจิตใจ เสียกิริยากายวาจาไปทั้งหมด ทั้งเป็นที่สะดุ้งหวาดเสียวแก่คนอื่น สิ้นความสวยความงาม ถ้าปล่อยให้มันเกิดอย่างรุนแรงและขาดสติเครื่องกระตุ้นเตือน ขาดขันติ ความยับยั้งชั่งคิดแล้วก็ถึงทําลายตนเอง ทําลายคนผู้เป็นที่เคารพนับถือ ทําลายคนที่รักใคร่ชอบใจ เพราะฉะนั้น การระมัดระวังหรือการข่มความโกรธไว้ไม่ให้เกิดขึ้นได้หรือหากพลั้งเผลอจนมันเกิดขึ้นแล้ว ย่อมยับยั้งได้โดยฉับพลันทันทีด้วยอํานาจขันติธรรมไม่ให้มันแสดงท่าทีออกมาทางกายและวาจาได้ จึงเป็นคุณธรรมทางใจอันสําคัญประการหนึ่ง ท่านจึงจัดเป็นวตบทข้อที่ ๗ ด้วยประการฉะนี้
ประการที่ ๓ บุคคลที่เป็นแบบอย่างในการบําเพ็ญปฏิบัติวตบท ๗ ประการนั้น จึงเห็นในนิทานเรื่องนี้ตอนอดีตนิทาน ซึ่งได้แก่ มฆมาณพนั่นแล ความจริงมฆมาณพนั่นแล ความจริงมฆมาณพนั้นก็เป็นคนสามัญธรรมดาเหมือนคนสมัยนี้ แต่หากว่าเป็นคนที่ทําจิตเป็นกุศล ด้วยมุ่งมั่นที่จะช่วยตนเองให้ได้รับความสุขความเจริญในทางที่ถูกให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ไม่หลงใหลงมงายไปในทางที่สนุกเพลิดเพลินแต่ในสิ่งที่เป็นโลกียวิสัย อันเป็นเครื่องลวงหลอกใจให้ติดจมอยู่ในกองทุกข์ เช่นเมื่อมฆมาณพนั้นไปทํางานในป่าได้แผ้วกวาดที่สําหรับพักให้เตียนสะอาด เพื่อได้พักผ่อนตามสบาย เมื่อคนอื่นทั้งหลายมาแย่งเอาที่ของตนไป ก็ไม่โกรธและยอมยกให้ด้วยดี ตนเองไปทําเอาที่ใหม่เรื่อยๆไป ภายหลังเมื่อเห็นว่าคนทั้งหลายต่างก็พากันต้องการที่อันสะอาดรื่นรมย์จึงได้เอาจอบไปแผ้วถางให้ได้บริเวณกว้างใหม่เท่ากับลานข้าว ทําให้คนทั้งหลายได้พักอาศัยตามสบายโดยทั่วถึงกัน เพียงเท่านั้นยังไม่สมแก่ใจ ยังได้พยายามช่วยสร้างความสุขสบายให้แก่คนทั้งหลายยิ่งขึ้นไปอีก คือในยามฤดูหนาวก็ก่อไฟให้เพื่อนๆ ได้ผิง ในยามฤดูร้อนก็หาน้ำมาไว้ให้เพื่อนๆ ได้อาบและรับประทาน เช่นนี้เป็นต้น ครั้นต่อมาก็ยิ่งเจริญศรัทธามากขึ้น คิดเห็นว่าที่อันสะดวกสบายมีความรื่นรมย์นั้นใครๆ ก็รักใคร่ชอบใจ คนที่จะไม่ชอบนั้นเป็นไม่มี ครั้นคิดเห็นดังนั้น จึงออกจากบ้านไปแต่เช้าเที่ยวทําทางที่ไม่สม่ำเสมอไม่เรียบราบให้สม่ำเสมอเรียบราบให้คนสัญจรไปมาได้สะดวกสบาย ถ้ามีกิ่งไม้หรือเรียวหนามโน้มน้อมลงมาระทางก็ตัดถางเก็บออกไปทิ้งทําให้ถนนหนทางโล่งเตียนและสะดวกแก่คนทั้งหลาย ครั้นมีเพื่อนสมัครใจมาช่วยทําก็ชักจูงแนะนําด้วยวาจาอันไพเราะอ่อนหวาน จนได้เพื่อนร่วมทางบุญถึง ๓๓ คนด้วยกัน ครั้นต่อมาเมื่อนายบ้านเกิดความขัดใจเพราะไม่ทําตามคําแนะนําที่สั่งไว้ จนนายบ้านได้แกล้งใส่ความว่าเป็นคณะโจร ไปกราบทูลยุยงพระราชาให้ทรงหลงเชื่อ แล้วมีพระบรมราชโองการให้ปล่อยช้างเหยียบทั้งเป็น เมื่อถึงคราวคับขันดังนั้นมฆมาณพก็ไม่โกรธเคืองนายบ้าน มิหนําซ้ำตักเตือนเพื่อนทั้ง ๓๓ คน ให้มีจิตเมตตาสม่ำเสมอกันในพระราชา ในนายบ้าน ในช้างที่จะเหยียบ และในตนของตน อันนับว่าเป็นอุบายที่ถูกที่ดีและมีคุณทั้งแก่ตนและคนอื่นควร ที่พุทธบริษัททั้งหลายจะพึงถือไว้เป็นเครื่องเตือนใจในยามที่ตนประสบเข้ากับเหตุการณ์ในทํานองนั้น เพราะการโกรธตอบต่อศัตรูนั้นไม่มีคุณประโยชน์อะไรเลย มีแต่จะเพิ่มทุกข์โทษให้แก่กันและกันยิ่งๆ ขึ้นไป ตรงกับพระพุทธภาสิตในยมวรรคธรรมบทว่า “ น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ “ ในกาลไหนๆ ในโลกนี้ เวรทั้งหลายย่อมไม่สงบระงับลงด้วยการผูกเวรกัน “ อเวเรน จ สมฺมนฺติ “ แต่เวรทั้งหลายย่อมสงบระงับดับลงด้วยการไม่ผูกเวรกัน ดังนี้
ก็ด้วยเดชะอานุภาพแห่งความดี และด้วยกําลังแห่งเมตตาจิตของมฆมาณพกับสหายทั้งหลาย ช้างก็ไม่กล้าจะเข้าไปเหยียบได้ ในที่สุดเมื่อพระราชาทรงทราบความจริงแล้ว ก็ได้พ้นจากทุกข์โทษ และได้ผลประโยชน์ในปัจจุบันทันตาเห็น คือพระราชาได้ทรงพระกรุณาโปรดมอบนายบ้านคนที่กลั่นแกล้งนั้น พร้อมทั้งบุตรและภริยาให้เป็นทาส พระราชทานช้างที่ปล่อยให้เหยียบนั้นให้เป็นพาหนะสําหรับขับขี่ไปมา และพระราชทานหมู่บ้านนั้นให้เป็นบ้านส่วย ครั้นต่อมาจึงได้พากันสร้างศาลาสุธัมมาสําหรับเป็นที่พักพิงอิงอาศัยของมหาชนผู้สัญจรไปมาไว้ตรงที่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง ซึ่งมีเนื้อความละเอียดดังวิสัชนามาแล้ว แสดงให้เห็นว่ามฆมาณพพร้อมกับสหายนั้น เป็นบุคคลตัวอย่างที่ไม่ประมาทในชีวิต และไม่หลงสนุกเพลิดเพลินไปแต่ในทางโลกียวิสัย พยายามทําความดีตั้งแต่เล็ก ๆ น้อย ๆ มาเป็นลําดับ ด้วยอานุภาพแห่งผลบุญนั้นๆ จึงได้ประสบความสุขเกษมในชาติปัจจุบัน ครั้นทําลายขันธ์แล้วก็ได้ไปบังเกิดเป็นท้าวสักกเทวราชบนเทวโลกเมืองสวรรค์ชั้นดาวดึงสพิภพ ด้วยประการนี้
ประการที่ ๔ การทําบุญกุศล หรือทําคุณงามความดีทั้งหลายนั้นจะทําแทนกันหาได้ไม่ ใครทําใครก็ได้ ใครไม่ทําใครก็ไม่ได้ จึงเห็นตัวอย่างในเรื่องนี้ คือ นางสุชาดาที่เป็นภริยาของมฆมาณพไม่ทําบุญกุศลอะไรเลย โดยสําคัญว่า มฆมาณพนั้นเป็นทั้งบุตรของลุงซึ่งนับว่าเป็นพี่เป็นน้องกัน และเป็นทั้งสามี เมื่อสามีทําบุญกุศลอันใด บุญกุศลอันนั้นก็เป็นของ ๆ ตน และเมื่อตนทําบุญกุศลอันใด บุญกุศลอันนั้นก็เป็นของ ๆ สามีเช่นเดียวกัน เมื่อสําคัญดังนี้แล้วจึงมิได้ทําบุญกุศลอะไร ๆ สนใจใฝ่ฝันอยู่แต่ในการประดับแต่งตัวเท่านั้น เพราะเหตุที่ไม่ได้ทําบุญกุศลอะไรไว้นั้น เมื่อถึงแก่มรณกรรมไปแล้วจึงไปบังเกิดในกําเนิดเดียรัจฉาน คือเป็นนางนกยางอยู่ในซอกเขาแห่งหนึ่ง ข้อนี้ก็เป็นเครื่องเตือนใจพุทธบริษัทไม่ให้สําคัญผิดไปว่า บุญกุศลนั้นๆ สามารถจะทําแทนกันได้ แล้วเกิดเป็นคนประมาทหลงใหลใฝ่ฝันอยู่แต่ในทางโลกีย์ เหมือนอย่างนางสุชาดานั้น คนเรานั้นถึงแม้จะเป็นมารดาบิดาเป็นบุตรธิดา เป็นสามีภริยาของกันและกัน แต่จิตใจไม่ตรงกัน หรือฝ่ายหนึ่งทําดีฝ่ายหนึ่งทําชั่ว ฝ่ายหนึ่งทําบุญ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ทําดังนี้แล้ว เมื่อต่อไปในชาติเบื้องหน้าก็ไม่มีทางที่จะได้พบกัน จนกว่าจะได้ทําความดีให้เท่าเทียมกัน หรือมีจิตใจน้อมเอียงไปในทางเดียวกัน เหมือนดังมฆมาณพ กับนางสุชาดา เป็นตัวอย่าง
อนึ่ง การรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ คือรักษาได้ครบทั้ง ๕ สิกขาบท และระมัดระวังไม่ให้ขาดไม่ด่างพร้อย ให้บริสุทธิ์สะอาดครบทั้ง ๕ องค์นั้น ย่อมได้อานิสงส์มากทั้งชาตินี้และชาติหน้า ในชาตินี้ ย่อมเป็นคนไม่มีกรรมเวร ไม่มีภัยอันตรายมาเบียดเบียนบีบคั้น มีความสุขกายสบายใจในที่ทุกสถาน เมื่อไปในชาติหน้า ก็จะมีรูปร่างสวยงามมีผิวพรรณดี มีสิริอยู่ในตัวและเป็นเหตุที่จะให้ไปบังเกิดบนสวรรค์ ได้โดยไม่ต้องสงสัย จึงเห็นตัวอย่างนางสุชาดานั้นแล เมื่อไปบังเกิดเป็นนางนกยาง ได้รักษาศีล ๕ ตามคําแนะนําของท้าวสักกะเป็นอย่างดี ไม่ละเมิดศีล หากินแต่ปลาที่ตายเอง เมื่อท้าวสักกะเสด็จไปทรงทดลองดู แม้จะได้คาบปลาเข้าไว้ในปากแล้ว ครั้นรู้ว่าปลานั้นยังมีชีวิตอยู่ก็คายปล่อยลงน้ำไป หลังจากนั้นได้ไปบังเกิดเป็นธิดาของนายช่างหม้อ ก็ได้รักษาศีล ๕ ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์จนตลอดชีวิต เมื่อจุติ จากนั้นไปบังเกิดเป็นอสุรกัญถา คือธิดาของจอมอสูรมีนามว่าสุชาดา จึงปรากฏว่านางมีรูปร่างสวยงาม อย่างไม่มีใครเสมอเสมือน ผิวพรรณงามเหมือนดังทองคําธรรมชาติหรือที่เรียกว่าผิวทอง และประกอบด้วยสิริลักษณ์อันมีเสน่ห์ เป็นที่ต้องตาเจริญใจของผู้ที่ได้เห็น ทั้งนี้ก็เพราะนางได้รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ดีมาแล้วแต่หลังทั้ง ๒ ชาติเป็นสมุฏฐาน เพราะฉะนั้นอันศีล ๕ นี้ จึงเป็นสิ่งที่พุทธบริษัทจะพึงถือรักษาปฏิบัติไว้เป็นคุณสมบัติตนจนตลอดชีวิต ด้วยประการฉะนี้
ประการที่ ๕ สมเด็จพระบรมศาสดา เมื่อได้ทรงวิสัชนาพยากรณ์แก้ข้อข้องพระทัยของเจ้ามหาลิ ในเรื่องท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทวดา โดยทรงแสดงวตบท ๗ ประการ อันเป็นธรรมที่ทําให้เป็นท้าวสักกะ พร้อมกับทรงแสดงอดีตนิทานเรื่อง มฆมาณพจบลงแล้ว จึงได้ทรงประทานพระพุทธโอวาทแก่เจ้ามหาลิ โดยทรงสรุปข้อปฏิบัติทั้งหลายลงในความไม่ประมาทอย่างเดียวว่า มฆมาณพนั้น ได้ปฏิบัติปฏิปทาอันไม่ประมาท และเมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทอย่างนั้น จึงได้บรรลุถึงซึ่งความเป็นใหญ่เห็นปานดังนั้น และได้ทรงเสวยทิพสมบัติในเทวโลกทั้ง ๒ ชั้น ความไม่ประมาทนี้นั้น บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นย่อมยกย่องสรรเสริญ เพราะการที่จะได้บรรลุถึงซึ่งคุณพิเศษต่างๆ ทั้งที่เป็นโลกิยะและเป็นโลกุตระสิ้นทั้งมวลนั้น ย่อมสําเร็จเพราะอาศัยความไม่ประมาทอย่างเดียว ครั้นแล้วได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดเจ้ามหาลิด้วยพระพุทธนิพนธคาถา ซึ่งมีข้อความสั้น ๆ ซ้ำอีกว่า -
ท้าวมฆวาได้ทรงบรรลุถึงซึ่งความเป็นผู้ประเสริฐกว่าทวยเทพทั้งหลายด้วยความ ไม่ประมาท บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญความไม่ประมาท ส่วนความประมาท บัณฑิตทั้งหลายครหานินทาในกาลทุกเมื่อ
ในพระพุทธนิพนธคาถานี้ มีอรรถาธิบายว่า คําว่า ความไม่ประมาทนั้น โดยความหมายได้แก่ ความมีสติรู้สํานึกตนได้อยู่เสมอ ไม่หลงมัวเมาไปในอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งได้อธิบายมาในเรื่องก่อน ๆ แล้ว ในที่นี้ความไม่ประมาท หมายเอาความรู้สึกตนในวัย ในชีวิต และในทรัพย์สมบัติทั้งหลาย คือไม่หลงในวัย ไม่หลงในชีวิต ไม่หลงในทรัพย์สมบัติ คนเมาในวัยหลงไปว่าตนยังหนุ่มยังสาว แล้วก็เพลิดเพลินเจริญใจไปเสียแต่ในสิ่งไม่เป็นสาระแก่นสาร ติดจมอยู่ในการเล่นของโลกมีประการต่าง ๆ แล้วไม่หาโอกาสสร้างคุณงามความดี หรือไม่ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์เป็นต้น คนเมาในชีวิตหลงไปว่าตนยังไม่ถึงคราวตาย หรือไม่ได้นึกถึงไม่ได้พิจารณาตนเลยว่า บัดนี้ชีวิตของเราผ่านมาแล้วสักเท่าไร และอีกสักเท่าไรจึงจะหมดสิ้นชีวิต ในการทําบาปอกุศล ไม่หาโอกาสทําคุณงามความดี หรือไม่ทําบุญกุศลอันจะเป็นที่พึ่งแก่ตนจนตลอดชีวิต ทําให้ชีวิตล่วงไปโดยไม่มีบุญกุศลไว้เป็นที่พึ่ง เกิดเป็นคนไม่มีที่พึ่ง เป็นคนจนความดีตลอดชีวิต ย่อมไม่ได้รับความสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า คนที่เมาในทรัพย์สมบัติ หลงไปว่าทรัพย์สมบัติเป็นสิ่งประเสริฐยิ่งกว่าตน หลงใหลเพลิดเพลินอยู่ในทรัพย์สมบัตินั้น ๆ ไม่จับจ่ายใช้สอยให้เป็นคุณประโยชน์ตามสมควร หรือหลงไปจับจ่ายใช้สอยแต่ในทางที่จะให้เกิดโทษแก่ตนและคนอื่น ทรัพย์สมบัติของคนเช่นนี้ย่อมเป็นหมันไม่เกิดดอกออกผล และเป็นทรัพย์สมบัติที่ก่อให้เกิดความเร่าร้อนทั้งแก่ตนและคนอื่น เพราะฉะนั้นสมเด็จพระพุทธองค์จึงตรัสพระพุทธภาษิตไว้ว่า “ โภคตณฺหา ทุมฺเมโธ หนฺติ อญฺเญว อตฺตานํ “ คนเขลาคือคนหลงย่อมฆ่าตนเองเหมือนอย่างฆ่าคนอื่น เพราะหลงอยากได้โภคสมบัติ ดังนี้
ส่วนคนผู้ไม่ประมาทนั้น ย่อมมีสติสํานึกรู้สึกตนเท่าทันในวัยไม่หลงเพลินไปว่ายังหนุ่มสาว เพราะความแก่ติดตามหลังมาอยู่ทุกระยะ รู้สึกตนในชีวิตว่า อันชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน วันนี้พรุ่งนี้ก็ได้ คนเรานั้นตายเมื่อยังเป็นเด็กก็มี ตายเมื่อกําลังหนุ่มสาวก็มี ตายเมื่อแก่เฒ่าชราก็มี แต่ถึงมีความจริงอยู่เช่นนั้น ตัวเรานี้ก็ไม่มีใครที่จะล่วงรู้ได้ว่าจะตายเมื่อไร รู้สึกตนในทรัพย์สมบัติว่า อันทรัพย์สมบัติทั้งหลายนั้น มีทั้งคุณและโทษ ถ้ารู้จักใช้และใช้ถูกทางก็เป็นคุณ ถ้าไม่รู้จักใช้หรือใช้ผิดทางก็เป็นโทษ และเมื่อตายแล้วไม่มีใครที่จะนําทรัพย์สมบัติติดตามไปได้เลย คนเราตายลงวันไหน ก็หมดสิทธิในทรัพย์สมบัติวันนั้น คนผู้ไม่ประมาทด้วยมีสติสํานึกรู้สึกตนอยู่ในทํานองดังพรรณนามาโดยย่อนี้ ย่อมจะเกิดความขวนขวายพยายามทําคุณงามความดี หรือทําบุญกุศลอันจะเป็นเครื่องส่งเสริมให้ตนได้รับความสุข ทั้งชาตินี้และชาติหน้า หรือที่เรียกว่า หาโอกาสสร้างทางสวรรค์ทางนิพพาน ไม่หลงไปสร้างทางอุบายนรก เหมือนดังมฆมาณพกับสหายเป็นตัวอย่าง อันความไม่ประมาทอันมีลักษณะดังวิสัชนามานี้ เป็นตัวมูลฐานที่จะให้คนทําคุณงามความดีทั้งทางโลกทางธรรม หรือทั้งทางโลกิยะทางโลกุตระ ตามสมควรแก่อุปนิสัยของแต่ละบุคคล จึงเป็นความดีโดยส่วนเดียว และเป็นสิ่งที่บัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญยกย่อง ส่วนความประมาทนั้น ตรงกันข้ามเป็นสิ่งที่บัณฑิตทั้งหลายครหานินทาตลอดกาลเป็นนิจ เพราะความประมาทเป็นมูลฐานให้เกิดความวิบัติเสียหายทั้งหลายโดยประการทั้งปวง อันความอับโชค ความอัปยศอดสู ความเสื่อมทรุดของมนุษย์ในโลกนี้หรือการที่จะต้องไปเสวยทุกข์ในอบายภูมิทั้ง ๔ ในชาติเบื้องหน้านั้นล้วนแต่มีมูลฐานมาจากความประมาททั้งนั้น เพราะฉะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้ตรัสพระธรรมเทศนาโปรดเจ้ามหาลิว่า
ท้าวมฆวาได้ทรงบรรลุถึงซึ่งความเป็นผู้ประเสริฐกว่าทวยเทพทั้งหลาย ด้วย ความไม่ประมาท บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นย่อมสรรเสริญความ ไม่ประมาท ส่วนความประมาทบัณฑิตทั้งหลายครหานินทาในกาลทุกเมื่อ
ซึ่งมีอรรถาธิบายดังรับประทานวิสัชนามา ด้วยประการฉะนี้
( ๘ ต.ค. – ๑๐ ต.ค. ๒๕๐๕ ) เรื่อง พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา: ท้าวสักกเทวราช กัณฑ์ที่ ๑
พระธรรมบทเทศนา พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา (๒) เรื่องท้าวสักกเทวราช [๒๑] กัณฑ์ที่ ๑ -------------------------------- นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส อปฺปมาเทน มฆวา เทวานํ เสฎฺฐตํ คโต อปฺปมาทํ ปสํสนฺติ ปมาโท ครหิโต สทาติ
บัดนี้ จะวิสัชนาพระธรรมเทศนาเรื่องท้าวสักกเทวราช อันมีมาในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท ขุททกนิกาย อัปปมาทวรรคที่ ๒ แห่งสุตตันตปิฎก นับเป็นลําดับเรื่องที่ ๒๑ เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลส่วนธรรมเทศนามัย และขอเชิญท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย จงตั้งใจสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลบุณยนฤธีส่วนธรรมสวนมัย สืบไป ณ บัดนี้ ดําเนินความว่า -
สตฺถา เวสาลิยํ อุปนิสฺสาย กูฏาคารสาลายํ วิหรนฺโต - สมัยหนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จอาศัยเมืองเวสาลีประทับพระอิริยาบถอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ( คือศาลามียอด ) ครั้งนั้น พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดเจ้าลิจฉวี พระนามว่า มหาลิ โดยทรงปรารภท้าวสักกเทวราชให้เป็นอุปบัติเหตุ ซึ่งมีเรื่องเล่าดังต่อไปนี้ -
เวสาลิยํ หิ มหาลิ นาม ลิจฺฉวี - ก็ในเมืองเวสาลีนั้นมีเจ้าลิจฉวีพระองค์หนึ่ง พระนามว่า ” มหาลิ “ พระองค์ได้ทรงสดับพระสุตตันตเทศนาในสักกปัณหสูตรของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทรงดําริว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมทรงแสดงถึงสมบัติของท้าวสักกะไว้อย่างมากหลายพระองค์ ทรงแสดงเช่นนั้นเพราะได้ทรงเห็นมาด้วยพระองค์เอง หรือว่ามิได้ทรงเห็นหนอ พระองค์ทรงรู้จักท้าวสักกะหรือไม่ทรงรู้จักหนอ ? เราจักกราบทูลถามพระองค์ดู ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวีมหาลิ ได้เสด็จไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงสถานที่พระองค์ประทับอยู่ ครั้นเสด็จไปถึงทรงถวายบังคมสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วได้ประทับนั่งอยู่ ณ ที่อันสมควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทรงกราบทูลสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า “ ข้าแต่สมเด็จพระพุทธองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลายนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นมาเองหรือ ? ” สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสตอบว่า “ ดูก่อน เจ้ามหาลิ ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลายนั้น อาตมาได้เห็นมาเองแล “ เจ้ามหาลิทรงกราบทูลด้วยทรงข้องพระทัยว่า “ ข้าแต่สมเด็จพระพุทธองค์ ก็ท้าวสักกะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นมานั้น จักเป็นท้าวสักกะเทียมกระมัง ? เพราะว่าท้าวสักกะจอมเทวดาทั้งหลายนั้น เป็นสิ่งที่เห็นได้โดยยาก “ สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสตอบอย่างหนักแน่นว่า “ ดูก่อน เจ้ามหาลิ อาตมารู้จักตัวท้าวสักกะด้วย รู้จักธรรมที่ทําให้เป็นท้าวสักกะด้วย อนึ่ง ท้าวสักกะนั้น ได้ถึงความเป็นท้าวสักกะเพราะสมาทานเอาธรรมเหล่าใด ธรรมเหล่านั้นอาตมาก็รู้จักด้วย
ดูก่อน เจ้ามหาลิ ท้าวสักกะผู้จอมเทวดานั้น เมื่อก่อนครั้งเป็นมนุษย์ได้เป็นมาณพชื่อว่า มฆะ เพราะเหตุนั้นจึงเรียกว่า ท้าวมฆวาน ดูก่อน เจ้ามหาลิ ท้าวสักกะจอมเทวดานั้น เมื่อก่อนครั้งเป็นมนุษย์ได้ให้ทานก่อนคนทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่า ท้าวปุรินททะ ดูก่อน เจ้ามหาลิ ท้าวสักกะจอมเทวดานั้น เมื่อก่อนครั้งเป็นมนุษย์ได้ให้ทานโดยเคารพ เพราะเหตุนั้นจึงเรียกว่า ท้าวสักกะ ดูก่อน เจ้ามหาลิ ท้าวสักกะจอมเทวดานั้น เมื่อก่อนครั้งเป็นมนุษย์ได้ให้ที่พักอาศัย เพราะเหตุนั้นจึงเรียกว่า ท้าววาสวะ ดูก่อน เจ้ามหาลิ ท้าวสักกะจอมเทวดานั้น ทรงคิดข้อความได้ตั้งพันนัย โดยกาลครู่เดียว เพราะเหตุนั้นจึงเรียกว่า ท้าวสหัสสักขะ ดูก่อน เจ้ามหาลิ นางอสุรกัญญา ชื่อ สุชาดา เป็นปชาบดี คือ พระมเหสีของท้าวสักกะผู้จอมเทวดา เพราะเหตุนั้น จึงเรียกท้าวสักกะว่า ท้าวสุชัมปติ ดูก่อน เจ้ามหาลิ ท้าวสักกะผู้จอมเทวดานั้น ได้ทรงเสวยราชสมบัติเป็น อิสสราธิบดี ของเทวดาทั้งหลาย ชั้นดาวดึงส์สวรรค์เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่า ท้าวเทวานมินทะ ดูก่อน เจ้ามหาลิ ท้าวสักกะจอมเทวดานั้น ได้ถึงความเป็นท้าวสักกะเพราะสมาทานเอาซึ่งวตบท ๗ ประการเหล่าใด วตบท ๗ ประการเหล่านั้น อันท้าวสักกะผู้จอมเทวดา เมื่อก่อนครั้งเป็นมนุษย์ได้ สมาทานเอาไว้อย่างบริบูรณ์แล้ว
วตบท ๗ ประการนั้นคืออะไรบ้าง ? คือ :- ๑.เราพึงปรนนิบัติเลี้ยงดูมารดาบิดาตลอดชีวิต ๒.เราพึงประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ในตระกูลตลอดชีวิต ๓.เราพึงกล่าวถ้อยคําอันอ่อนหวานตลอดชีวิต ๔.เราไม่พึงพูดคําส่อเสียดยุแหย่ให้คนแตกกันตลอดชีวิต ๕.เราพึงมีใจปราศจากความตระหนี่อยู่ครองเรือนตลอดชีวิต คือ - เป็นผู้เสียสละเด็ดขาด มีมือสะอาดเพื่อให้ทานเป็นนิจ - ยินดีในการเสียสละ ควรแก่การขอของคนอื่น - ยินดีในการจําแนกแจกทาน ๖.เราพึงเป็นผู้มีวาจาสัจตลอดชีวิต และ ๗.เราพึงเป็นผู้ไม่โกรธตลอดชีวิต ถ้าความโกรธจะพึงเกิดขึ้นแก่เรา เราจะพึงกําจัดความโกรธนั้นได้อย่างฉับพลันทันที
ดูก่อน เจ้ามหาลิ ท้าวสักกะนั้นได้ถึงซึ่งความเป็นท้าวสักกะเพราะสมาทานเอาซึ่ง วตบท ๗ ประการ เหล่าใด วตบท ๗ ประการเหล่านั้น อันท้าวสักกะจอมเทวดา เมื่อก่อนครั้งเป็นมนุษย์ได้สมาทานเอาไว้อย่างบริบูรณ์แล้ว คือ วตบท ๗ ประการเหล่านี้แล “
สมเด็จพระผู้มีพระภาคบรมศาสดา ครั้นตรัสคําไวยากรณ์ร้อยแก้วดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระพุทธนิพนธคาถานี้ซ้ำอีก ซึ่งมีความว่า
มาตาเปตฺติภรํ ชนํ กุเล เชฎฺฐาปจายินํ สณฺหํ สขิลสมฺภาสํ เปสุเณยฺยปุปหายินํ มจฺเฉรวินเย ยุตฺตํ สจฺจํ โกธาภิภํ นรํ ตํ เว เทวา ตาวตึสา อาหุ สปฺปุริโส อิติ
นรชนใด เป็นผู้ปรนนิบัติเลี้ยงดูมารดาบิดา ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ ในตระกูล กล่าวถ้อยคําอันไพเราะอ่อนหวาน ประหารคําส่อเสียดให้หมดไป ประกอบ อยู่ในการกําจัดความตระหนี่ มีวาจาสัจ ปฏิบัติข่มความโกรธไว้ได้ ทวยเทพเจ้าเหล่า ดาวดึงส์ทั้งหลาย ย่อมยกย่องนรชนนั้นนั่นแล ว่าเป็นสัปปุริสชน คือคนดี
สมเด็จพระบรมศาสดามีพระพุทธดํารัสกับเจ้ามหาลิ ว่า “ ดูก่อน เจ้ามหาลิ กุศลกรรมนี้อันท้าวสักกะสร้างไว้ในสมัยชาติที่เกิดเป็นมฆมาณพ “ เมื่อเจ้ามหาลิทรงประสงค์ที่จะทราบข้อปฏิบัติของท้าวมฆมาณพนั้นโดยพิสดารจึงกราบทูลถามต่อไปว่า “ พระพุทธเจ้าข้า มฆมาณพได้ปฏิบัติมาอย่างไร ? “ สมเด็จพระพุทธองค์จึงตรัสว่า “ ดูก่อน เจ้ามหาลิ ถ้าเช่นนั้นบพิตรจงตั้งพระทัยสดับต่อไป ดังนี้แล้วทรงนําอดีตนิทานมาแสดง ซึ่งมีข้อความดังต่อไปนี้ -
อตีเต มคธฎฺเฐ อจลคาเม มโฆ นาม มาณโว - ในอดีตกาลปางหลัง ยังมีมาณพคนหนึ่งชื่อมฆะ อยู่ในที่บ้านอจลคาม ในแว่นแคว้นแดนดินมคธรัฐ เขาไปสู่สถานที่ที่ทํางานของชาวบ้านแล้ว ได้กวาดดินตรงที่ตนยืนอยู่นั้นด้วยปลายเท้า ทําให้เป็นที่น่ารื่นรมย์แล้วจึงได้อยู่ มีบุรุษคนอื่นเอาแขนผลักเขาให้ออกไปจากที่นั้นแล้วได้ไปยืนอยู่ ณ ที่ตรงนั้นเสียเอง มฆมาณพนั้นไม่โกรธ เขาไปทําที่อื่นให้เป็นที่รื่นรมย์ใหม่อยู่ต่อไป แม้ ณ ที่ใหม่นั้นก็ได้มีบุรุษอื่นมาผลักเขาด้วยแขนให้ออกไปแล้วไปอยู่ ณ ที่ตรงนั้นเสียเอง ถึงกระนั้นมฆมาณพก็มิได้โกรธเขาผู้นั้น ไปทําที่อื่นให้เป็นที่น่ารื่นรมย์อยู่ต่อไป คนทั้งหลายที่ออกมาแล้วๆ จากบ้านได้ผลักมฆมาณพด้วยแขนให้ออกไปเสียจากสถานที่ที่เขาทําให้สะอาดแล้วๆ ด้วยประการดังนี้ มฆมาณพนั้นคิดเห็นว่า แม้คนทั้งหมดนี้ได้ความสะดวกสบายเพราะอาศัยเรา กรรมนี้จะพึงเป็นบุญกรรมอันจะส่งผลให้ความสุขแก่เราเป็นแน่ ดังนี้แล้ว ครั้นวันรุ่งขึ้นได้ถือเอาจอบไปทําที่ประมาณเท่ามณฑลแห่งลานข้าวให้เป็นที่น่ารื่นรมย์ คนทั้งหมดได้พากันไปอยู่ ณ ที่ตรงนั้นนั่นแล ต่อมาครั้นถึงยามฤดูหนาว มฆมาณพก็ได้ก่อไฟไว้ให้คนงานเหล่านั้น ครั้นถึงยามฤดูร้อน ก็ได้ตักน้ำมาไว้ให้ ต่อจากนั้นมา มฆมาณพได้คิดเห็นว่า ขึ้นชื่อว่าที่อันน่ารื่นรมย์ ย่อมเป็นที่ชอบใจของคนทั้งปวง ใคร ๆ ที่จะไม่ชอบใจนั้นย่อมไม่มี ตั้งแต่นี้ต่อไป เราควรจะเที่ยวไปทําถนนหนทางให้เรียบราบสม่ำเสมอ ครั้นแล้วได้ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ เที่ยวทําทางให้เรียบราบสม่ำเสมอ ตัดกิ่งไม้ที่ควรจะตัดออกจากทางให้โล่งโปร่ง ครั้งนั้นมีบุรุษคนอื่นได้เห็นมฆมาณพทําอยู่อย่างนั้นจึงถามว่า “ ทําอะไรสหาย ? “ มฆมาณพตอบว่า “ เราสร้างทางสําหรับไปสู่สวรรค์ให้แก่เราเองดอกสหาย “ บุรุษสหายพูดว่า “ ถ้าเช่นนั้น ฉันขอเป็นสหายกับเธอด้วย “ มฆมาณพตอบว่า “ ได้ซีสหาย ขึ้นชื่อว่าสวรรค์ย่อมเป็นสิ่งที่รักใคร่พอใจของคนเป็นอันมาก “ จําเดิมแต่นั้น จึงได้มีคนที่สมัครใจร่วมกันเป็น ๒ คน แม้คนอื่นอีกได้เห็นสหาย ๒ คนนั้นแล้ว ซักถามถึงเหตุผลได้ทราบความเหมือนอย่างนั้นแล้ว ก็ได้สมัครใจเข้าเป็นสหายโดยทํานองเดียวกันนี้ รวมทั้งหมดจึงได้เป็นสหาย ๓๓ คน ฉะนี้ สหาย ๓๓ คนนั้นถือเอาจอบเป็นต้น พากันไปทําทางให้ราบเรียบสม่ำเสมอได้ระยะทางประมาณโยชน์หนึ่งสองโยชน์ ด้วยประการฉะนี้
เต ทิสฺวา คามโภชโก - ฝ่ายนายบ้านเห็นสหาย ๓๓ คนทํางานดังนั้นจึงคิดว่า คนพวกนี้พากันประกอบกรรมทํางานในสิ่งที่ไม่ควรจะทํา ถ้าคนพวกนี้ไปหาปลาและเนื้อเป็นต้นมาจากป่า หรือต้มสุรามาดื่ม หรือทําการงานทํานองนั้นอย่างอื่น ๆ เราก็จะพลอยได้อะไรต่ออะไรบ้าง ครั้นแล้วจึงเชิญสหายเหล่านั้นมาแล้วสอบถามว่า “ พวกท่านพากันเที่ยวทําอะไรกัน ? “ พวกสหายตอบว่า “ พวกข้าพเจ้าสร้างทางสวรรค์ดอกนายขอรับ “ นายบ้านพูดแนะนําตามความคิดของตนว่า “ ธรรมดาคนที่อยู่ครองบ้านเรือนนั้น ไม่สมควรที่จะไปทํางานอย่างนั้น ควรจะไปหาปลาและเนื้อเป็นต้นมาจากป่า ไปต้มสุรามาดื่มกัน หรือไปทําการงานมีประการต่าง ๆ จะดีกว่า “ สหายเหล่านั้นพากันปฏิเสธการแนะนําของนายบ้านนั้น ถึงนายบ้านจะได้พยายามแนะนําอยู่แล้วอยู่เล่า เขาเหล่านั้นก็คงยืนกรานปฏิเสธตามเดิม นายบ้านโกรธเคืองแล้วจึงคิดว่า เราจักแกล้งทําให้พวกนี้ฉิบหายเสีย แล้วไปสู่พระราชสํานักกราบทูลพระราชาว่า “ ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นพวกโจรเที่ยวไปโดยรวมหัวกันเป็นพรรคพวก “ เมื่อพระราชาทรงรับสั่งว่า “ เธอจงไปจับเอาตัวมันมา “ จึงได้ไปจับเอาสหาย ๓๓ คนนั้นมาถวายพระราชา ส่วนพระราชาก็มิได้ทรงพิจารณาให้รอบคอบ ทรงมีพระบรมราชโองการสั่งว่า “ พวกเธอจงปล่อยช้างให้เหยียบมันเสีย “ มฆมาณพได้ให้โอวาทแก่สหายนอกนี้ว่า “ สหายทั้งหลาย ที่พึ่งของเราอย่างอื่นนอกจากเมตตาแล้วไม่มีอะไร เธอทั้งหลายอย่าได้ทําความโกรธแค้นในใคร ๆ เลย จงทําจิตให้เสมอกัน ทั้งในพระราชา ในนายบ้าน ในช้างที่จะเหยียบ และในตนเอง ด้วยเมตตาจิต “ สหายทั้งหลายต่างก็ได้พากันทําจิตเหมือนดังที่มฆมาณพโอวาทนั้นๆ ดังนั้นช้างไม่สามารถจะเข้าไปใกล้ด้วยอานุภาพแห่งเมตตาของสหายเหล่านั้น ฝ่ายพระราชาครั้นทรงทราบเรื่องดังนั้น จึงมีพระบรมราชโองการสั่งว่า ช้างมันเห็นคนมากมันจึงไม่กล้าจะเหยียบ จงไปเอาเสื่อลําแพนมาคลุมปิดให้มิดเสียก่อน แล้วจึงปล่อยให้มันเหยียบ ครั้นเขาเอาเสื่อลําแพนมาคลุมพวกสหายเหล่านั้นแล้ว นายควาญช้างจึงไสช้างเข้าไปเพื่อให้มันเหยียบ ช้างก็หาได้เหยียบไม่ ได้เผ่นหนีไปเสียไกล ด้วยประการฉะนี้
ราชา ตํ ปวตฺตึ สุตฺวา - ส่วนพระราชาได้ทรงทราบพฤติการณ์ดังนั้นแล้ว ทรงมีพระราชดําริว่า เหตุในข้อนี้จะต้องมี จึงทรงรับสั่งให้นําสหายเหล่านั้นมาเฝ้าแล้วตรัสถามว่า “ พ่อมหาจําเริญทั้งหลาย พวกเจ้าอาศัยพึ่งพิงเราแล้วไม่ได้อะไรหรือ จึงได้พากันประพฤติเช่นนั้น “ พวกสหายกราบทูลถามว่า “ ขอเดชะ ที่พระองค์ทรงรับสั่งนี้ หมายความว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า “ พระราชาตรัสบอกว่า “ ได้ยินมาว่า พวกเจ้ารวมหัวกันเป็นโจร เที่ยวดักซ่อนอยู่ในป่า มิใช่หรือ ? “ พวกสหายกราบทูลถามว่า “ ขอเดชะ ใครกราบทูลพระองค์อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า “ พระราชาตรัสบอกว่า “ พ่อมหาจําเริญทั้งหลาย นายบ้านได้บอกเราอย่างนั้น “ พวกสหายจึงกราบทูลข้อเท็จจริงให้ทรงทราบว่า “ ขอเดชะ พวกข้าพระพุทธเจ้ามิได้เป็นโจร แต่ว่าพวกข้าพระพุทธเจ้าเมื่อจะทําทางสวรรค์ของตนให้สะอาด จึงได้พากันทํางานอย่างนี้ๆ นายบ้านได้แนะนําพวกข้าพระพุทธเจ้าให้ทําสิ่งที่เป็นบาปอกุศล เมื่อพวกข้าพระพุทธเจ้าไม่ยอมทําตามคําแนะนําของเขา เขามุ่งที่จะให้พวกข้าพระพุทธเจ้าฉิบหายเสีย นายบ้านโกรธแค้นขึ้นมาแล้วจึงมากราบทูลใส่ความอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า “ ครั้งนั้นพระราชาทรงสดับข้อเท็จจริงของพวกสหายเหล่านั้นแล้วโสมนัสปรีดา มีพระราชดํารัสตรัสขอโทษว่า “ พ่อมหาจําเริญทั้งหลาย สัตว์เดียรัจฉานนี้มันยังรู้จักคุณของพวกเจ้า ฉันเป็นมนุษย์แท้ๆ ยังไม่สามารถจะรู้ได้ พวกเจ้าจงให้อภัยแก่ฉันเสียเถิด “ ก็แลครั้นมีพระราชดํารัสอย่างนี้แล้ว ได้มีพระบรมราชโองการให้เอานายบ้านพร้อมทั้งบุตรและภริยาเป็นทาสของพวกสหายเหล่านั้น พระราชทานช้างนั้นให้เป็นพาหนะสําหรับขับขี่ และพระราชทานหมู่บ้านนั้นให้เป็นบ้านส่วย สําหรับบริโภคใช้สอยตามสะดวกสบาย สหายทั้ง ๓๓ คนนั้นเห็นร่วมกันว่า เราได้เห็นอานิสงส์บุญในชาติทันตาเห็นนี้ นั่นเทียว จึงมีใจผ่องใสโดยประมาณยิ่งๆ ขึ้น พากันขึ้นขับขี่ช้างนั้นไปเป็นวาระ ๆ พลางได้ปรึกษากันว่า บัดนี้เราจะต้องทําบุญให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ถามกันว่า “ เราจะทําบุญอะไรดี ? ตกลงกันว่า เราจักสร้างศาลาเป็นที่พักอาศัยของมหาชน ทําอย่างแน่นหนาถาวรไว้ที่ตรงทางใหญ่ ๔ แยก “ สหายเหล่านั้นเชิญนายช่างมาพบแล้ว ก็ตกลงให้ลงมือสร้างศาลาทีเดียว แต่เพราะเหตุที่สหายเหล่านั้นไม่มีฉันทะในสตรีทั้งหลาย จึงมิได้ให้ส่วนบุญแก่พวกสตรีในศาลานั้น ด้วยประการฉะนี้
มฆสฺส ปน เคเห - ก็ในบ้านของมฆมาณพนั้น ได้มีสตรีอยู่ ๔ คนคือ นางสุนันทา ๑ นางสุจิตตา ๑ นางสุธัมมา ๑ นางสุชาดา ๑ ในสตรี ๔ คนนั้น นางสุธัมมาได้ร่วมใจกันกับนายช่าง สั่งนายช่างไว้ว่า “ พี่ชาย ! พี่ชายจงช่วยทําดิฉันให้เป็นหัวหน้าในศาลาหลังนี้ให้จงได้ “ ครั้นแล้วให้สินบนแก่นายช่างไว้ นายช่างรับคําแล้วได้ตากไม้ที่จะทําช่อฟ้าให้แห้งแล้วถากแกะสลัก ทําให้เป็นช่อฟ้าสําเร็จก่อนสิ่งอื่นๆ แล้วแกะเป็นตัวอักษรว่า ศาลาสุธัมมา แล้วเอาผ้าพันเก็บซ่อนไว้ ต่อมาเมื่อนายช่างสร้างศาลาสําเร็จแล้ว ครั้นถึงวันที่จะยกช่อฟ้าจึงบอกกับสหาย ๓๓ คนนั้นว่า “ โอ ตายจริงท่าน ข้าพเจ้าได้ลืมสิ่งที่ควรทําอย่างหนึ่งเสียแล้ว “ พวกสหายถามว่า “ นายช่างผู้เจริญ ท่านลืมอะไรเสียเล่า “ นายช่างตอบว่า “ ข้าพเจ้าลืมช่อฟ้าเสียแล้วท่าน “ พวกสหายพูดว่า “ ไม่เป็นไร เราจักนําไม้สําหรับทําช่อฟ้านั้นมาให้ใหม่ “ นายช่างพูดชี้แจงว่า “ ไม้ที่ตัดลงใหม่ ๆ นั้นไม่อาจที่จะเอามาทําช่อฟ้าได้ ต้องได้ช่อฟ้าที่เขาตัดมาถาก แกะสลักเก็บไว้นานๆ เท่านั้นจึงจะใช้ได้ “ พวกสหายหารือนายช่างว่า คราวนี้เราควรทําอย่างไรจึงจะสําเร็จได้ นายช่างให้ความแนะนําว่า ถ้าช่อฟ้าที่เขาจะขายซึ่งเขาทําให้สําเร็จรูปเก็บไว้มีอยู่ในบ้านของใครๆ ก็ตาม ควรไปเสาะหาเอาช่อฟ้านั้น พวกสหายเหล่านั้นเมื่อเสาะหาไปได้เห็นช่อฟ้าอยู่ที่บ้านของนางสุธัมมา แม้จะขอซื้อด้วยทรัพย์พันหนึ่ง ก็ไม่ตกลงกันได้ด้วยมูลค่า เมื่อนางสุธัมมาพูดว่า “ ถ้าท่านทั้งหลายให้ดิฉันมีส่วนบุญในศาลาด้วย ดิฉันจักยกให้เปล่า “ พวกสหายพูดปฏิเสธว่า “ เราไม่ยอมให้ส่วนบุญแก่สตรีทั้งหลาย “ ด้วยประการฉะนี้
อถ เน วฑฺฒกี อาห - ครั้งนั้นนายช่างได้พูดชี้แจงกับพวกสหายเหล่านั้นว่า “ นายขอรับ ทําไมจึงพูดอย่างนั้น สถานที่อื่นๆ เว้นเสียแต่พรหมโลกเท่านั้น ที่จะเว้นจากสตรีย่อมไม่มี โปรดรับเอาช่อฟ้าเสียเถิด เมื่อทําอย่างนี้แล้ว การงานของเราก็จักได้ถึงความสําเร็จเสร็จสิ้นลง “ พวกสหายเหล่านั้นตกลงรับเอาช่อฟ้าไปทําให้ศาลาสําเร็จแล้ว ได้แบ่งศาลาออกไว้เป็น ๓ แผนก แผนกหนึ่งทําให้เป็นที่พักของพวกผู้ใหญ่ แผนกหนึ่งสําหรับเป็นที่พักของพวกคนยากจน แผนกหนึ่งสําหรับเป็นที่พักของพวกคนเจ็บไข้ได้ป่วย สหาย ๓๓ คนได้ให้ปูพื้นกระดานไว้เป็นที่แล้ว ได้ให้สัญญาแก่ช้างไว้ว่า “ อาคันตุกะมานั่งพักที่พื้นกระดานที่ผู้ใดปูลาดไว้ เจ้าจงพาอาคันตุกะผู้นั้นไปพัก ณ ที่บ้านของเจ้าของพื้นกระดานนั่นเทียว “ การปฏิบัติต่ออาคันตุกะนั้นทุก ๆ อย่าง เช่นการนวดเท้า บีบหลัง จัดของเคี้ยวของบริโภคและที่หลับนอน จักเป็นภาระธุระของเจ้าของพื้นกระดานนั่นแล ส่วนช้างก็ได้พาอาคันตุกะที่มาแล้ว ไปยังเรือนของเจ้าของพื้นกระดานนั้นๆ นั่นเทียว เจ้าของพื้นกระดานนั้นก็ทําสิ่งที่ควรทําต่ออาคันตุกะนั้นตลอดวันนั้น ส่วนมฆมาณพปลูกต้นทองหลางต้นหนึ่งไว้ตรงที่ใกล้ ๆ กับศาลา แล้วปูแผ่นหินไว้ใต้โคนต้นทองหลางนั้น บรรดาอาคันตุกะทั้งหลายที่เข้าไปศาลาแล้วมองดูช่อฟ้าอ่านดูหนังสือแล้ว ต่างก็พูดกันว่า “ ศาลาสุธัมมา “ แต่ชื่อของสหาย ๓๓ คนมิได้ปรากฏ ส่วนนางสุนันทาคิดว่า “ คนเหล่านี้สร้างศาลา ทํามิให้เรามีส่วนบุญด้วย แต่นางสุธัมมา เพราะเขาฉลาดจึงได้สร้างช่อฟ้าเป็นผู้มีส่วนบุญกับคนเหล่านั้น แม้เราก็ควรจะทําอะไรๆ สักอย่างหนึ่ง จักทําอะไรดีหนอ ? “ ที่นั้นนางได้เกิดความคิดขึ้นว่า อาคันตุกะทั้งหลายที่มายังศาลาแล้ว ควรจะได้น้ำรับประทานและน้ำอาบ เราจักให้ขุดสระโบกขรณี ครั้นคิดดังนี้แล้วก็ให้สร้างสระโบกขรณีไว้สระหนึ่ง ส่วนนางสุจิตตาคิดว่า นางสุธัมมาได้ให้ช่อฟ้า นางสุนันทาได้ให้สระโบกขรณี แม้เราก็ควรจะทําอะไรๆ สักอย่างหนึ่ง จักทําอะไรดีหนอ ? ที่นั้นนางได้เกิดความคิดขึ้นว่า อาคันตุกะทั้งหลายที่มายังศาลา ดื่มน้ำ อาบน้ำแล้ว ในเวลาจะไปควรจะประดับดอกไม้แล้วจึงไป เราจักให้สร้างสวนดอกไม้ ครั้นคิดดังนี้แล้ว ก็ได้ให้สร้างสวนดอกไม้อันน่ารื่นรมย์ไว้สวนหนึ่ง ในสวนนั้นโดยมากมิได้มีใครที่จะพูดว่า ไม้ดอกไม้ผลชื่ออย่างนั้น ๆ ย่อมไม่มี ดังนี้ ด้วยประการฉะนี้
สุชาตา ปน - ส่วนว่านางสุชาดานั้นคิดเสียว่า เราเป็นธิดาของลุงและเป็นภริยาของมฆมาณพ กุศลบุญกรรมที่มฆมาณพทําแล้วก็เป็นกุศลบุญกรรมของเรานั่นเอง กุศลบุญกรรมที่เราทำแล้วก็เป็นของมฆมาณพเหมือนกัน จึงมิได้ทํากุศลบุญกรรมอะไรๆ เลย เฝ้าแต่ประดับแต่งตัวเท่านั้น ฝ่ายมฆมาณพนั้นได้บําเพ็ญวตบท ๗ ประการ เหล่านี้ให้บริบูรณ์แล้ว คือ บํารุงมารดาบิดา ๑ ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ๑ มีวาจาสัจ ๑ มีวาจาไพเราะอ่อนหวาน ๑ ไม่พูดยุแหย่ ๑ กําจัดความตระหนี่เสียได้ ๑ ไม่โกรธ ๑ ได้ถึงซึ่งความเป็นผู้อันบัณฑิตพึงสรรเสริญว่าอย่างนี้
นรชนใด เป็นผู้ปรนนิบัติเลี้ยงดูมารดาบิดา ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน ต่อผู้ใหญ่ในตระกูล กล่าวถ้อยคําอันไพเราะอ่อนหวาน ประหารคํา ส่อเสียดให้หมดไป ประกอบอยู่ในการกําจัดความตระหนี่ มีวาจาสัจ ปฏิบัติข่มความโกรธไว้ได้ ทวยเทพเจ้าเหล่าดาวดึงส์ทั้งหลาย ย่อม ยกย่องนรชนผู้นั้นนั่นแล ว่าเป็นสัปปุริสชน คือคนดี
ในเวลาสิ้นสุดลงแห่งชีวิต ก็ได้ไปบังเกิดเป็นท้าวสักกเทพราชา บนเมืองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พิภพ แม้พวกสหายของมฆมาณพเหล่านั้นก็ได้ไปบังเกิด ณ สถานที่นั้นเช่นเดียวกัน นายช่างได้ไปบังเกิดเป็น วิสสุกรรมเทพบุตร สมัยนั้นพวกอสูรทั้งหลายยังอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น พวกอสูรเหล่านั้นคิดว่า พวกเทพบุตรใหม่ๆ มาบังเกิดแล้ว จึงตระเตรียมเลี้ยงน้ำทิพย์ต้อนรับเทพบุตรใหม่ ส่วนท้าวสักกะทรงให้สัญญาแก่บริษัทของพระองค์ เพื่อมิให้ใครๆ ดื่มน้ำทิพย์ พวกอสูรทั้งหลายพากันดื่มน้ำทิพย์แล้วก็เกิดมึนเมาไปตามกัน ท้าวสักกะทรงดําริว่า เราไม่ต้องการที่จะครองทิพสมบัติร่วมกับอสูรพวกนี้ จึงทรงสัญญาแก่บริษัทของพระองค์แล้วให้ช่วยกันจับเท้าเหวี่ยงลงไปในมหาสมุทร อสูรเหล่านั้นได้ตกดิ่งศีรษะลงไปในมหาสมุทร ขณะนั้น อสุรวิมานก็ได้ผุดเกิดขึ้น ณ พื้นเบื้องล่างของภูเขาสิเนรุราช ด้วยอํานาจบุญของอสูรทั้งหลายเหล่านั้น ต้นไม้จิตตปาฏลี คือ ต้นแคฝอย ก็ได้ลอยมาบังเกิดขึ้นมาพร้อมกัน ด้วยประการฉะนี้
เทวาสุรสงฺคาเม ปน - ก็ในการณรงค์สงครามกันระหว่างเทวดากับอสูรนั้น เมื่อพวกอสูรปราชัยพ่ายแพ้ไปแล้ว ดาวดึงสเทพนครได้บังเกิดมีอาณาบริเวณประมาณหมื่นโยชน์ ระหว่างประตูด้านปราจีนทิศกับด้านปัจฉิมทิศแห่งเทพนครนั้นห่างกันได้หมื่นโยชน์ ระหว่างประตูด้านทักษิณกับประตูด้านทิศอุดร ก็ห่างกันหมื่นโยชน์เหมือนกัน อนึ่ง เทพนครนั้น ได้มีพระทวารพันหนึ่ง มีสวนดอกไม้และสระโบกขรณีเป็นเครื่องประดับพระนคร ตรงใจกลางพระนครนั้น มีเวชยันตปราสาทอันสําเร็จแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ มีความสูง ๗๐๐ โยชน์ ประดับด้วยธงทั้งหลายสูง ๓๐๐ โยชน์ บังเกิดผุคขึ้นด้วยผลแห่งศาลา คันธงเป็นทอง ตัวธงเป็นแก้วมณี คันธงเป็นแก้วมณี ตัวธงเป็นทอง คันธงเป็นแก้วประพาฬ ตัวธงเป็นแก้วมุกถา คันธงเป็นแก้วมุกถา ตัวธงเป็นแก้วประพาฬ คันธงเป็นแก้ว ๗ ประการ ตัวธงก็เป็นแก้ว ๗ ประการ ธงอันที่ปักอยู่ตรงกลางพระมหาปราสาทมีความสูง ๓๐๐ โยชน์ พระมหาปราสาทอันมีความสูงพันโยชน์สําเร็จด้วยแก้ว ๗ ประการล้วน ๆ ได้บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งศาลา ฉะนี้ ต้นปาริฉัตตกะมีปริมณฑลโดยรอบ ๓๐๐ โยชน์ ได้บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งต้นทองหลาง พระแท่นปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ มีสีเหมือนสีดอกชัยพฤกษ์และสีผ้ากัมพลแดง ยาว ๖๐ โยชน์ กว้าง ๕๐ โยชน์ หนา ๑๕ โยชน์ ได้บังเกิดขึ้นที่โคนต้นปาริฉัตตกะ ด้วยผลแห่งแผ่นหิน พระแท่นปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นั้น เวลานั่งยุบลงไปครึ่งตัว เวลาลุกออกแล้วก็ฟูขึ้นเต็มที่อย่างเดิม ด้วยประการฉะนี้
หตฺถี ปน เอราวโณ นาม เทวปุตฺโต - ส่วนช้างของสหายคนนั้น ได้ไปบังเกิดเป็นเอราวัณเทพบุตร เพราะบนเทวโลกย่อมไม่มีสัตว์เดียรัจฉานทั้งหลาย ฉะนั้นในเวลาที่ท้าวสักกะจะเสด็จออกเพื่อทรงกีฬาในพระราชอุทยาน เอราวัณเทพบุตรนั้นจึงได้ละอัตภาพมาเป็นช้างเอราวัณ มีลําตัวสูงได้ ๑๕๐ โยชน์ เอราวัณเทพบุตรนั้นนิรมิตกระพองขึ้นเป็น ๓๓ กระพอง เพื่อประโยชน์แก่เทพบุตร ๓๓ องค์ กระพองหนึ่งโดยกลมประมาณสามร้อยสองร้อยเส้น นิรมิตกระพองอันหนึ่งชื่อ สุทัสสนะ ประมาณ ๓๐ โยชน์ ไว้ที่ตรงกลางแห่งกระพองทั้งปวง สําหรับเป็นที่ประทับของท้าวสักกะ เบื้องบนกระพองสุทัสสนะนั้น มีมณฑปแก้วสูง ๑๒ โยชน์ ที่มณฑปแก้วนั้นปักธงแก้ว ๗ ประการ ซึ่งมีความสูงโยชน์หนึ่งไว้เป็นระยะ ๆ ตรงที่ชายธงมีข่ายกระดิ่งห้อยย้อยลง เมื่อถูกลมพัดอ่อน ๆ มีเสียงดังกังวาลดุจเสียงทิพสังคีตอันเจือด้วยเสียงดุริยดนตรีมีองค์ ๕ ตรงกลางมณฑปนั้นตั้งบัลลังก์แก้วมณีสูงโยชน์หนึ่งไว้สําหรับท้าวสักกะ ท้าวสักกเทพราชาประทับนั่งบนบัลลังก์แก้วมณีนั้น ส่วนเทพบุตร ๓๓ นั่งบัลลังก์แก้วที่กระพองของตน ๆ ในบรรดากระพอง ๓๓ กระพองนั้น แต่ละกระพองนิรมิตงาขึ้น กระพองละ ๗ งา งาหนึ่ง ๆ ยาวประมาณ ๕๐ โยชน์ ในงาอันหนึ่งๆ มี สระโบกขรณี ๗ สระ ในสระโบกขรณีสระหนึ่ง ๆ มีกอบัวสระละ ๗ กอ ในกอบัวกอหนึ่งๆ มีดอกกอละ ๗ ดอก ในดอกบัว ดอกหนึ่ง ๆ มีกลีบดอกละ ๗ กลีบ ในกลีบหนึ่งๆ มีนางเทพธิดาฟ้อนอยู่ประจํา ๗ องค์ มหรสพแห่งการฟ้อนย่อมมีอยู่ประจํางาช้างทั้งหลายซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ ๕๐ โยชน์ โดยรอบ อย่างนี้ ท้าวสักกะเทพราชาทรงเสวยพระอิสริยยศอันยิ่งใหญ่เสด็จไปด้วยอาการอย่างนี้
สุธมฺมาปิ กาลํ กตฺวา - ฝ่ายนางสุธัมมานั้นเมื่อถึงแก่มรณกรรมแล้ว ก็ได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พิภพนั้นนั่นแล เทวสภาอันกว้างได้ ๕๐๐ โยชน์ มีนามว่าสุธัมมา ได้บังเกิดสําหรับนางสุธัมมาเทพธิดานั้น ได้ยินว่าสถานที่อื่นๆ ที่น่ารื่นรมย์ยิ่งไปกว่าสุธัมมาเทวสภานั้นเป็นอันไม่มีแล ในวัน ๘ ค่ำ ทุก ๆ เดือน คนทั้งหลายครั้นได้เห็นสถานที่อันน่ารื่นรมย์แห่งใดแห่งหนึ่งแล้ว ยังพากันกล่าวสรรเสริญว่า “ เหมือนสุธัมมาเทวสภา “ ดังนี้ สืบมาตลอดกาลปัจจุบันทุกวันนี้ ฝ่ายนางสุนันทานั้นเมื่อถึงแก่มรณกรรมแล้ว ก็ได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสพิภพนั้นนั่นแล สระโบกขรณีชื่อนันทา อันกว้างได้ ๕๐๐ โยชน์ ก็ได้บังเกิดสําหรับนางสุนันทาเทพธิดานั้น แม้นางสุจิตตาเมื่อถึงแก่มรณกรรมแล้ว ก็ได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสพิภพนั้นเหมือนกัน สวนชื่อจิตตลดาวันอันกว้างได้ ๕๐๐ โยชน์ ก็ได้บังเกิดขึ้นแม้สําหรับนางสุจิตตาเทพธิดานั้น นับเป็นสถานที่ที่เทพธิดาพาหมู่เทพบุตรผู้มีบุพพนิมิตเกิดขึ้นแล้ว ไปเที่ยวหลงเพลิดเพลินเจริญใจ ด้วยประการฉะนี้
แสดงพระธรรมเทศนามาในเรื่องท้าวสักกเทวราช ยังไม่สุดสิ้นระบิลความ แต่เป็นการสมควรแก่เวลา จึงขอยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงนี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้
( ๖ ต.ค. – ๘ ต.ค. ๒๕๐๕ เวลา ๑๖.๐๐ น. ) เรื่อง พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา:จูฬปันถกเถระ กัณฑ์ที่๒
พระธรรมบทเทศนา พระธรรมเทศนาธัมมปฑัฏฐกถา (๓) เรื่องพระจูฬปันถกเถระ [๑๗ ] กัณฑ์ที่ ๒ --------------------------- นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส. อุฏฺฐาเนนปฺปมาเทน สญฺญเมน ทเมน จ ทีปํ กยิราถ เมธาวี ยํ โอโฆ นาภิกีรตีติ
อนุสนธิพระธรรมเทศนา ณ บัดนี้จะวิสัชนาพระธรรมเทศนา เรื่องพระจูฬปันถกเถระกัณฑ์ที่ ๒ โดย อนุสนธิสืบเนื่องมาจากกัณฑ์ที่ ๑ ซึ่งได้วิสัชนามาแล้ว เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลส่วนธรรมเทศนามัย และขอเชิญท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย จงตั้งใจสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี เพื่อให้สําเร็จเป็นมหากุศลบุณยนฤธี ส่วนธรรมสวนมัยสืบไป ณ บัดนี้ ดําเนินความว่า
อตีเต พาราณสินครวาสี เอโก มาณโว - ในอดีตกาลปางหลังยังมีมาณพอยู่คนหนึ่ง เป็นชาวเมืองพาราณสี เธอได้ไปเมืองตักกสิลามอบตนเป็นศิษย์เรียนธรรมแก่อาจารย์ผู้ทิศาปาโมกข์ เพื่อเรียนเอาศิลปะ ภายในระหว่างมาณพ ๕๐๐ คน เธอได้เป็นผู้อุปการะต่ออาจารย์เป็นอย่างดีที่สุด ได้รับภาระทํากิจการทุกอย่างมีการนวดเท้าเป็นต้น แต่เพราะเธอเป็นคนโง่ทึบ จึงไม่อาจจะเรียนเอาศิลปะอะไรได้เลย แม้อาจารย์จะได้พยายามอยู่ด้วยสําคัญว่าศิษย์คนนี้เป็นผู้มีอุปการะมากแก่เรา เราจักให้เขาศึกษาจนได้ ก็ไม่สามารถจะให้เขาศึกษาอะไรๆ ได้ มาณพนั้นครั้นอยู่มานานแต่ไม่อาจจะเรียนเอาได้แม้เพียงคาถาบทหนึ่ง จึงเกิดความระอาขึ้นมาและไปลาอาจารย์ว่า “ กระผมจะขอลากลับไป ขอรับผม “ ฝ่ายอาจารย์คิดว่า ศิษย์คนนี้เป็นผู้อุปการะเรา เราก็หวังที่จะให้เขาเป็นคนฉลาด แต่ก็ไม่สามารถจะทําให้เขาเป็นคนฉลาดได้ ถึงกระนั้นก็จําเป็นที่เราจะต้องทําอุปการะตอบแก่ศิษย์คนนี้ให้จงได้ เราจะผูกมนต์ขึ้นบทหนึ่งมอบให้แก่เธอ ครั้นแล้วก็พาเขาไปป่า ผูกมนต์ขึ้นซึ่งมีความว่าดังนี้ ฆฏฺเฏฐิ ฆฏฺเฏฐิ กึการณา ฆฏฺเฏฐิ อหํปิ ตํ ชานามิ ชานามิ ( พยายามไปซิ พยายามไปซิ ท่านพยายามไป ทําไมเล่า ? แม้เรารู้จักท่านอยู่ แม้เรารู้จักท่านอยู่ ) แล้วให้เรียนมนต์นั้น ให้ทบไปทวนมาตั้งหลายร้อยครั้ง แล้วสอบถามว่า “ เธอจําได้หรือยัง ? ” เมื่อศิษย์ตอบว่า “ จําได้แล้ว ขอรับผม ” คิดว่า ธรรมดาศิลปะที่คนทึบพยายามทําให้คล่องแคล่วแล้ว ย่อมไม่เลือนหายไปได้ มอบเสบียงทางให้แล้ว สั่งกําชับว่า “ เธอจงไปเถิด จงอาศัยมนต์นี้เลี้ยงชีวิต แต่ต้องทําการสาธยายมนต์เป็นเนืองนิจเพื่อจะไม่ให้มนต์นั้นเลือนหายไป “ ครั้นแล้วก็ส่งมาณพนั้นกลับไป ครั้งเวลาที่เธอกลับไปถึงเมืองพาราณสีแล้ว มารดาของเธอคิดว่า บุตรของเราเรียนศิลปะสําเร็จแล้วกลับมา จึงได้ทําการฉลองสมโภชเป็นการใหญ่ ด้วยประการฉะนี้
ตทา พาราณสิราชา - ในกาลครั้งนั้น พระเจ้าพาราณสี ทรงพิจารณาตรวจตราพระองค์ดูว่า เราจะมีความผิดอะไรบ้างหรือไม่หนอ ในบรรดาการงานของเรามีการงานทางกายเป็นต้น ครั้งมิได้ทรงเห็นการงานอะไร ๆ ที่พระองค์จะไม่พอพระราชฤทัย จึงมีพระราชดําริว่า ธรรมดาโทษของตนย่อมไม่ปรากฏแก่ตนเอง มักจะปรากฏแก่คนอื่นๆ เราจักกําหนดหยั่งเสียงชาวพระนครทั้งหลายดู ครั้งแล้ว ก็ทรงปลอมพระองค์เสด็จออกไปในเวลาเย็น เสด็จท่องเที่ยวไปโดยทรงแอบตามฝาแห่งเรือนนั้น ๆ โดยทรงเข้าพระราชหฤทัยว่า ธรรมดาการสนทนาพูดจากันของคนทั้งหลายที่นั่งรับประทานอาหารในเวลาเย็นนั้น ย่อมมีเรื่องนานาประการ ถ้าเราครองราชสมบัติโดยไม่เป็นธรรม คนทั้งหลายก็จักพูดว่า “ เราถูกพระเจ้าแผ่นดินลามกไม่ตั้งอยู่ในธรรม เบียดเบียนด้วยประการต่าง ๆ มีลงอาญาและขูดรีดภาษีอากรเป็นต้น “ ถ้าเราครองราชสมบัติโดยความเป็นธรรม คนทั้งหลายก็จักพูดกันเป็นต้นว่า “ ขอให้พระเจ้าแผ่นดินของเราจงทรงพระชนมายุยืนนาน “ แล้วจักพูดถึงคุณของเรามีประการต่างๆ ด้วยประการฉะนี้
ตสฺมึ ขเณ อุมงฺคโจรา - ขณะนั้น มีพวกโจรอุโมงค์ กําลังเจาะอุโมงค์อยู่ในระหว่างเรือน ๒ หลัง เพื่อเข้าไปหาเรือน ๒ หลังโดยอุโมงค์เดียวกัน พระเจ้าพาราณสีทรงทอดพระเนตรเห็นพวกโจรนั้นแล้ว ทรงประทับยืนบังเงาเรือนอยู่ ในเวลาที่พวกโจรเหล่านั้นเจาะอุโมงค์เข้าไปถึงเรือนแล้ว กําลังมองหาสิ่งของอยู่ มาณพนั้นรู้สึกตัวตื่นขึ้นแล้วสาธยายมนต์นั้นว่า " ฆฏฺเฏฐิ ฆฏฺเฏฐิ กึการณา ฆฏฺเฏฐิ อหํปิ ตํ ชานามิ ชานามิ “ ดังนี้ โจรเหล่านั้นได้ยินเสียงมนต์นั้นแล้ว เข้าใจว่า บุรุษคนนี้รู้จักเราแล้ว คราวนี้เขาจักทําเราให้ฉิบหายละ พากันตกใจกลัวทิ้งแม้กระทั้งผ้านุ่ง แล้วพากันหลบหนีไปโดยพร้อมหน้ากันนั่นเทียว ฝ่ายพระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นพวกโจรนั้นหลบหนีไป และทรงได้ยินเสียงมาณพนั้นสาธยายมนต์ ครั้งทรงกําหนดหยั่งเสียงชาวพระนครเสร็จแล้ว ก็เสด็จกลับเข้าสู่พระราชนิเวศน์ ครั้งเมื่อราตรีสว่างแล้ว พระองค์ได้ทรงรับสั่งให้เรียกมหาดเล็กคนหนึ่งมาเฝ้าแต่เช้า แล้วทรงรับสั่งว่า “ พนาย เธอจงไปเดี๋ยวนี้ พวกโจรทําการเจาะอุโมงค์ในเรือนหลังใด ในถนนชื่อโน้น ที่เรือนนั้นมีมาณพอยู่คนหนึ่งที่เรียนศิลปะสําเร็จมาจากเมืองตักกสิลา เธอจงเชิญมาณพนั้นมาหาเรา “ มหาดเล็กไปถึงเรือนมาณพนั้นแล้วบอกว่า “ ในหลวงทรงรับสั่งให้ท่านเข้าไปเฝ้า “ แล้วก็นํามาณพนั้นมา ครั้งนั้นพระราชาได้ตรัสถามมาณพนั้นว่า “ พ่อมหาจําเริญ เจ้าคือมาณพที่เรียนศิลปะสําเร็จมาจากเมืองตักกสิลานั้นใช่ไหม ? “ มาณพกราบทูลว่า “ ใช่แล้ว พระพุทธเจ้าข้า “ พระราชาตรัสถามว่า “ เธอจะให้ศิลปะนั้นแก่เราได้ไหม ? “ มาณพกราบทูลว่า “ ได้ พระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์ทรงประทับนั่งบนอาสนะที่เสมอกันแล้วจงทรงเรียนเอาเถิด พระพุทธเจ้าข้า “ ฝ่ายพระเจ้าพาราณสีได้ทรงปฏิบัติตามเหมือนอย่างนั้น ทรงเรียนเอามนต์นั้น แล้วได้พระราชทานทรัพย์ให้แก่มาณพนั้นพันหนึ่ง พร้อมกับทรงรับสั่งว่า “ ทรัพย์นี้เป็นส่วนของท่านสําหรับบูชาพระอาจารย์ “ ด้วยประการ ฉะนี้.
ตทา เสนาปติ รญฺโญ - ในกาลครั้งนั้น เสนาบดีได้ถามนายช่างกัลบก ( คือคนแต่งองค์ ) ของพระเจ้าพาราณสีว่า “ เธอจักแต่งพระมัสสุของในหลวงเมื่อไร ? “ ( คือแต่งหนวดเครา ) นายช่างกัลบก เรียนตอบว่า “ เห็นจะเป็นวันพรุ่งนี้ หรือวันมะรืนนี้ขอรับ “ เสนาบดีให้สินจ้างแก่นายช่างกัลบกพันหนึ่งแล้ว พูดว่า “ ฉันมีธุระอยู่อย่างหนึ่ง “ เมื่อนายช่างกัลบกเรียนถามว่า “ มีธุระอะไรขอรับ “ แล้วจึงบอกอุบายให้แก่นายช่างกัลบกว่า “ เธอจงทําเหมือนจะแต่งพระมัสสุถวายในหลวง ลับมีดโกนเสียให้คมกริบทีเดียว แล้วจงเชือดก้านพระศอของในหลวง เธอจักได้เป็นเสนาบดี ฉันก็จะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน “ นายช่างกัลบกตกลงรับคําของเสนาบดี ครั้นวันแต่งพระมัสสุถวายในหลวง นายช่างกัลบกชุบพระมัสสุด้วยน้ำหอม สะบัดมีดโกนแล้วจับที่ขอบพระนลาฏ ( จับที่ขอบหน้าผาก ) ทําท่าจะลงมือโกนแต่คิดขึ้นว่า มีดโกนคมร่อยไปเสียหน่อยหนึ่ง ควรจะเชือดก้านพระศอให้ขาดโดยฉับเดียวเท่านั้น จึงออกมาสะบัดมีดโกนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่งอีก ขณะนั้น พระราชาทรงรําพึงถึงมนต์ของพระองค์ขึ้นมา เมื่อจะทรงสาธยายมนต์จึงได้ตรัสขึ้นว่า “ ฆฏฺเฏฐิ ฆฏฺเฏฐิ กึการณา ฆฏฺเฏฐิ อหํปิ ตํ ชานามิ ชานามิ “ ทันทีนั้นเหงื่อได้ไหลโทรมออกจากหน้าผากของนายช่างกัลบก เขาสําคัญว่าในหลวงทรงล่วงรู้ความในใจของตน จึงเกิดความตกใจกลัวโยนมีดโกนลงที่พื้นแล้วนอนคร่อมอกลงแทบพระบาท ก็ธรรมดาพระราชาย่อมเป็นผู้ทรงพระปรีชาฉลาด ด้วยเหตุนั้นพระองค์จึงได้ทรงมีพระราชดํารัสกับเขาอย่างนี้ว่า “ เฮ้ย ! อ้ายช่างกัลบกใจร้าย จึงสําคัญว่าพระเจ้าแผ่นดินไม่ล่วงรู้ความในใจของมึงดังนั้นหรือ ? “ นายช่างกัลบกกราบทูลว่า “ ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาพระราชทานอภัยโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า “ พระราชาตรัสว่า “ เอาเถอะมึงอย่ากลัวเลย แต่จงบอกความจริงให้ข้าทราบ “ นายช่างกัลบกจึงกราบทูลตามความจริงว่า “ ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ท่านเสนาบดีให้สินจ้างแก่ข้าพระพุทธเจ้าพันหนึ่ง แล้วแนะนําอุบายให้ว่า เธอจงทําเหมือนจะแต่งพระมัสสุถวายในหลวง แล้วจงเชือดก้านพระศอให้ขาด เมื่อในหลวงสวรรคตแล้ว เราก็จัดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วจักตั้งให้เธอเป็นเสนาบดี “ ฝ่ายพระราชาครั้นทรงทราบข้อเท็จจริงดังนั้นแล้ว ทรงพระราชดําริว่า เราได้ชีวิตครั้งนี้เพราะอาศัยอาจารย์ของเราแท้ๆ ทรงรับสั่งให้ตามตัวเสนาบดีมาแล้ว มีพระบรมราชโองการสั่งว่า “ ท่านเสนาบดีผู้เจริญ ท่านไม่ได้อะไรจากสํานักของเราหรือประการใด ? ต่อไปนี้เราไม่สามารถที่จะทนดูหน้าท่านต่อไปได้แล้ว ท่านจงออกไปเสียจากแว่นแคว้นของเรา “ ครั้นแล้ว ก็ทรงขับไล่เสนาบดีนั้นออกไปเสียจากแว่นแคว้น แล้วทรงรับสั่งให้เชิญอาจารย์เข้ามาเฝ้า ทรงมีพระราชดํารัสว่า “ ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าได้รอดชีวิตมาครั้งนี้ เพราะอาศัยท่านอาจารย์แท้ๆ “ ครั้นแล้ว ทรงทําการสักการะเป็นการใหญ่ แล้วได้พระราชทานตําแหน่งเสนาบดีให้แก่พระอาจารย์นั้น มาณพผู้ปัญญาทึบในกาลครั้งนั้นได้มาเป็นพระจูฬปันถกะ ส่วนพระศาสดาคืออาจารย์ทิศาปาโมกข์ ด้วยประการ ฉะนี้
สตฺถา อิมํ อตีตํ อาหริตฺวา – สมเด็จพระบรมศาสดา ครั้งทรงนําอดีตนิทานนี้มาแล้ว จึงตรัสว่า “ ภิกษุทั้งหลาย แม้ในชาติก่อนจูฬปันถกะก็ได้เป็นคนโง่ทึบอย่างนี้แล เราได้เป็นที่พึ่งของเธอได้ ช่วยเธอให้ตั้งอยู่ในโลกียทรัพย์แม้ด้วยประการอย่างนั้น ต่อมาในวันรุ่ง เมื่อยังมีการสนทนากันอยู่ว่า “ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงเป็นที่พึ่งของพระจูฬปันถกะ น่าอัศจรรย์จริงๆ ดังนี้ “ สมเด็จพระพุทธองค์จึงได้ทรงแสดงเรื่องอดีตในจูฬกเสฏฐิชาดก ตรัสพระพุทธนิพนธคาถา ซึ่งมีความว่าดังนี้
อปุปเกนปิ เมธาวี ปาภเตน วิจกฺขโณ สมุฏฺฐาเปติ อตฺตานํ อณํ อดฺคีวา สนฺธมํ
คนมีปัญญาเห็นประจักษ์แจ้งย่อมตั้งตนได้ด้วยทุนทรัพย์แม้ เพียงเล็กน้อย เหมือนคนก่อไฟเล็ก ๆ ให้เป็นกองใหญ่ขึ้น ฉะนั้น.
ครั้นแล้วทรงมีพระพุทธดํารัสว่า “ ภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่ในชาตินี้เท่านั้น ที่เราเป็นที่พึ่งของจูฬปันถกะนี้ แม้ในชาติก่อนก็ได้เป็นที่พึ่งมาแล้วเช่นกัน อนึ่งในชาติก่อนเราได้ทําจูฬปันถกะนี้ให้เป็นเจ้าของแห่งโลกียทรัพย์ ในชาตินี้เราทําให้เธอเป็นเจ้าของแห่งโลกุตรทรัพย์ “ ดังนี้แล้ว ได้ทรงสรุปชาดกว่า “ อันเตวาสิกของจูฬกเศรษฐีครั้งนั้น ได้มาเป็นพระจูฬปันถกะบัดนี้ ส่วนจูฬกเศรษฐี ผู้เป็นบัณฑิต ฉลาดรอบรู้ในนักขัตฤกษ์ครั้งนั้น คือเรานั่นเทียว “
ปุเนกทิวสํ ธมฺมสภายํ ภิกฺขู - ต่อมารุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายวิพากษ์วิจารณ์กันในโรงธรรมสภาว่า “ ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระจูฬปันถกะถึงแม้จะไม่สามารถเรียนเอาพระคาถา ๔ บทได้โดยกาลถึง ๔ เดือน แต่เมื่อไม่ยอมละทิ้งความพยายาม ได้ดํารงอยู่ในพระอรหัตแล้ว บัดนี้ได้เป็นเจ้าของแห่งทรัพย์คือโลกุตรธรรมแล้ว “ สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า “ ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไร ? “ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสประทานพระโอวาทว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ปรารภความเพียรในศาสนาของเรา ย่อมหวังได้เป็นเจ้าของแห่งโลกุตรธรรมทั้งนั้น “ ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระธรรมเทศนาโปรดโดยพระพุทธนิพนธคาถาอันเป็นปัจฉิมพจน์ ดังนี้. อุฏฐาเนนปฺปมาเทน สญฺญเมน ทเมน จ ทีปํ กยิราถ เมธาวี ยํ โอโฆ นาภิกีรติ.
ผู้มีปัญญา พึงสร้างเกาะที่ห้วงน้ําท่วมทับทําลายไม่ได้ด้วยธรรม ๔ ประการ คือ ความเพียร ๑ ความไม่ประมาท ๑ ความสํารวม ๑ ความฝึกตน ๑
ภิกษุทั้งหลายเป็นอันมากส่งญาณไปตามกระแสพระธรรมเทศนาโดยโยนิโสมนสิการเป็นอันดี ในเวลาจบพระธรรมเทศนาพุทธนิพนธคาถา ต่างก็ได้สําเร็จเป็นพระอริยบุคคลมีพระโสดาบันเป็นต้น สมควรแก่อุปนิสัยของตนๆ พระธรรมเทศนาครั้งนั้นได้เกิดเป็นประโยชน์แก่พุทธบริษัทผู้มาประชุมกันแล้ว ด้วยประการฉะนี้แล.
จบนิทาน
ลําดับนี้ จะได้วิสัชนาอรรถาธิบายความในท้องนิทานและในพระพุทธนิพนธคาถา โดยอาศัยหลักอรรถกถานัยและโดยอัตตโนมัตยาธิบาย เพื่อเฉลิมเพิ่มเติมสติปัญญาฉลองศรัทธาบารมี เพิ่มพูนกุศลบุญภษีแก่สาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายสืบต่อไป
ในนิทานเรื่องนี้ มีข้อประเด็นที่ควรยกขึ้นมาอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ -
ประการที่ ๑ การที่สตรีหลบหนีมารดาบิดาตามชายชู้ไป เหมือนอย่างธิดาของธนเศรษฐีหนีตามคนใช้ไปในเรื่องนี้นั้น ไม่เป็นการผิดศีล ๕ ข้อกาเมสุมิจฉาจาร แต่ทว่าเป็นการละเมิดล่วงเกินโอวาทคําสั่งสอนของมารดาบิดา ทําให้มารดาบิดาอับอายขายหน้าและเกิดความทุกข์โทมนัสขัดเคืองน้อยเนื้อเสียใจ ไม่สมความประสงค์ที่ท่านได้อุปถัมภ์เลี้ยงดูมาด้วยความเมตตากรุณาอย่างที่สุด เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นการผิดศีล ก็นับว่าเป็นการผิดธรรม ย่อมเป็นบาปกรรมที่จะอํานวยผลให้เป็นทุกข์ทั้งในชาตินี้และชาติหน้าได้อย่างแน่นอน จึงเห็นตัวอย่างธิดาของธนเศรษฐีนี้เป็นตัวอย่าง เมื่อหนีตามชายชู้ไปแล้ว ก็ไปตกระกําลําบากชนิดที่ไม่สมควรกัน ต้องระหกระเหินหาเช้ากินค่ำด้วยกําลังของตนเอง จัดเข้าใน บุคคล ๔ จําพวก จําพวกที่ว่า “ โชติตมปรายโน “ คือมีความสว่างมาในตอนต้นแห่งชีวิต แล้วมีความมืดไปในตอนปลายแห่งชีวิต เรียกว่าสว่างมาแล้วมืดไป นอกจากนี้เพราะบาปกรรมที่สร้างความทุกข์โทมนัสขัดเคืองให้แก่มารดาบิดาผู้มีพระคุณเหลือล้นนั้น เมื่อแตกกายตายไปแล้ว ยังจะต้องไปทนทุกข์ทรมานอยู่ในอบายภูมิอีกไม่ทราบว่าอีกสักกี่ชาติจึงจะพ้นกรรมพ้นเวรนั้น จึงเป็นสิ่งที่สตรีทั้งหลายไม่ควรจะประพฤติปฏิบัติเช่นนั้น หากจะมีความสมัครรักใคร่กัน ก็ควรที่จะพยายามปฏิบัติจัดการให้สําเร็จโดยชอบตามระบอบธรรมประเพณี ด้วยการใช้สติปัญญาเป็นเครื่องอุปถัมภ์ ฝ่ายมารดาบิดาเล่า หากว่าบังเอิญธิดาจะได้เกิดประพฤติล่วงละเมิดดังนั้นขึ้นมา ก็ไม่ควรจะโทมนัสขัดเคืองจนเกินเหตุจนถึงกับจะต้องลงมือสร้างบาปกรรมเพราะเหตุนั้นซ้ำอีก โดยพิจารณาถึงกรรมของตนว่า การที่เราได้บุตรธิดาที่ไม่ตั้งอยู่ในโอวาทคําสั่งสอนนั้น ก็เพราะเราเป็นตัวการ คือเพราะสร้างกรรมมาไม่ดี จึงได้บุตรธิดาที่ไม่ดีเช่นนั้น จึงเห็นตัวอย่างของเศรษฐีในเรื่องนี้ เมื่อธิดานําหลานกลับมาแต่ไม่กล้าเห็นหน้า เพียงแต่ส่งข่าวมาให้ทราบ ท่านก็ไม่ว่าอะไรไปยิ่งกว่าเหตุ กลับพูดเป็นคติธรรมว่า เมื่อคนเราทั้งหลายท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในสังสารวัฏเช่นนี้ คนที่ไม่เคยเป็นบุตรเป็นธิดากันมาเลยนั้นย่อมไม่มี ลูกเรามันมีความผิดมากจึงไม่กล้าเห็นหน้าเรา แล้วก็ส่งทรัพย์ไปให้ พร้อมกับสั่งว่าให้ไปเลี้ยงดูกันตามความสะดวกใจ แต่ให้ส่งหลานคือ มหาปันถกะกับจูฬปันถกะสองพี่น้องมาให้ แล้วก็ได้อุปถัมภ์เลี้ยงดูหลานด้วยเมตตากรุณา ควรถือเป็นตัวอย่างแห่งมารดาบิดาทั้งหลายด้วยประการฉะนี้
ประการที่ ๒ เด็กชายมหาปันถกะนั้น เพราะเหตุที่ได้ไปวัดฟังธรรมกับท่านตาบ่อย ๆ นานมาก เลยมีนิสัยน้อมเอียงไปในการบรรพชาคืออยากบวชในพระศาสนา เมื่อนิสัยนั้นแก่กล้าขึ้นก็ขออนุญาตท่านตาบวชเป็นสามเณร ครั้งอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ก็ได้อุปสมบทเป็นภิกขุภาวะ แล้วต่อมาก็ได้สําเร็จเป็นพระอรหันต์ ซึ่งได้นามว่าพระมหาปันถกเถระ ตอนนี้แสดงให้เห็นว่าอันเด็กๆนั้นเมื่อมารดาบิดาปู่ย่าตายาย ชักจูงนํามาให้ได้มีโอกาสเสวนะซ่องเสพในทางที่ดีมาตั้งแต่แรกๆ แล้ว ก็เป็นเหตุให้ลูกหลานมีความยินดีพอใจในการประพฤติปฏิบัติดีไปด้วย เมื่อพิจารณาไปในทางตรงกันข้าม คือถ้ามารดาบิดาปู่ย่าตายายชักจูงนำพาลูกหลานให้ซ่องเสพในทางที่ไม่ดีมาแต่แรกๆ เช่นชอบพาไปดูหนังดูละคร นําพาไปสู่วงสุรายาเมา หรือวงการพนันขันสู้แล้ว ลูกหลานก็จะพลอยมีนิสัยน้อมเอียงไปในทางเสื่อมเสียนั้นๆ ได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น จึงเป็นภาระหน้าที่ของมารดาบิดาหรือปู่ย่าตายาย จะพึงระมัดระวังไม่ชักจูงนําพาลูกๆ หลานๆ ให้น้อมเอียงไปในทางที่จะเสื่อมเสียนิสัย ตรงกันข้ามต้องพยายามชักจูงนําพาให้ได้ซ่องเสพแต่เรื่องที่ดีๆ หรือบุคคลที่ดีๆ คือให้ได้เห็นให้ได้ยินได้ฟังแต่ส่วนที่ดี ให้ได้เข้าไปซ่องเสพสมาคมกับเพื่อนที่ดีหรือครูอาจารย์ที่ดี เหมือนท่านของเศรษฐีได้ชักจูงนําพาหลานคือมหาปันถกะให้ได้ไปวัดวาอารามให้ได้ยินได้ฟังคําสอนศีลธรรมอันดี ให้ได้เห็นความประพฤติปฏิบัติที่ดีของพระภิกษุสงฆ์มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น ในที่สุดเหตุการณ์แวดล้อมทั้งหลาย คือสิ่งที่ได้เห็นเสมอๆ สิ่งที่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ นั้นๆ ก็เข้าแทรกซึมในจิตใจให้เอนเอียงไปสู่ทางที่ดี ทําให้เป็นผู้ว่านอนสอนง่าย กลายเป็นคนดีสืบไป เหมือนอย่างพระมหาปันถกเถระเป็นตัวอย่างประการฉะนี้.
ประการที่ ๓ พระมหาปันถกเถระนั้น เมื่อตนได้ประสพพบวิมุติสุขอันประเสริฐแล้ว ก็ระลึกนึกถึงน้องชายคือจูฬปันถกะ อยากจะให้น้องชายได้ประสพความสุขอันวิเศษเหมือนอย่างตนบ้าง ซึ่งนับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีอีกประการหนึ่ง ในระหว่างพี่ๆ น้องๆ จําที่จะต้องสงเคราะห์ซึ่งกันและกันในทางที่ดีเป็นธรรมดา พระมหาปันถกเถระจึงได้ชักจูงนําน้องชายให้ได้ออกบวชในพระศาสนาเพื่อได้ประสพพบวิมุตติสุขเหมือนกับตน แต่เพราะเหตุที่พระจูฬปันถกะนั้น ได้สร้างกรรมมาแต่หนหลังไม่ดี พอบวชแล้วก็กลายเป็นคนโง่ทึบ เรียนคาถาเพียงบทเดียวตั้ง ๔ เดือนก็จําไม่ได้ จนเป็นเหตุให้พี่ชายเกิดความระอารําคาญใจ จึงขับให้ออกไปเสียจากวัด ด้วยสําคัญว่าบวชอยู่ต่อไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเป็นเหตุให้เสียกาลเวลาไปเปล่าๆ ก็การที่พระจูฬปันถกะเกิดเป็นคนโง่ทึบ และที่พระมหาปันถกะเถระไม่สามารถจะช่วยสอนให้ประสพวิมุตติสุขได้นั้น ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ข้อแรกเพราะบาปกรรมในอดีตของพระจูฬปันถกะนั้นติดตามมาสนอง โดยที่เมื่อครั้งศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าโน้น ได้ทําการหัวเราะเยาะแก่ภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมีปัญญาทึบในขณะที่เรียนพระบาลี จนทําให้ภิกษุนั้นเกิดความกระดากละอายแล้วเลิกเรียนหนังสือเสีย ดังนั้นคนเราจึงไม่ควรล้อเลียนหรือหัวเราะเยาะกันเล่น จนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งเสื่อมเสียจากคุณงามความดีไป ย่อมจะเป็นเวรกรรมติดตามไปสนองได้เหมือนอย่างพระจูฬปันถกะเป็นตัวอย่าง เหตุข้อที่ ๒ นั้น เพราะพระมหาปันถกะผู้พี่ชายเป็นอาจารย์ พี่ไม่รู้อัธายาศัยจิตใจของพระจูฬปันถกะแล้วสอนไม่ตรงกับอัธยาศัยจิตใจ จึงไม่อาจที่จะช่วยน้องชายให้บรรลุผลได้ การเป็นครูคนต้องสอนให้ตรงกับอุปนิสัยจิตใจของศิษย์ นั่นย่อมถือเป็นหน้าที่ของครูอย่างสําคัญประการหนึ่ง เรียกว่าจับจุดถูกหรือยิงถูกเป้าหมาย การสอนคนนั้น เพียงแต่สักว่าสอนๆ ไปตามที่ตนมีวิชาความรู้ โดยไม่คํานึงถึงอัธยาศัยจิตใจของศิษย์ว่าจะฟังรู้เรื่องหรือไม่ จะตั้งใจฟังหรือไม่ และจะสมควรแก่อุปนิสัยจิตใจหรือไม่แล้ว ถึงจะขยันสอนสักปานใดหรือ สอนได้มากตลอดกาลนานสักเพียงไร ก็ย่อมไม่ได้ผลสมความมุ่งหมาย เหมือนอย่างที่พระมหาปันถกะเถระสอนน้องชายมาแล้วเป็นตัวอย่าง พระมหาปันถกะนั้นโทษน้องชายข้างเดียวว่าเป็นคนโง่ทึบ แต่มองไม่เห็นความโง่ของตน ที่ตนไม่รู้ไม่สามารถจะสอนน้องชายให้ตรงกับอุปนิสัยจิตใจ เลยตัดสินใจลงโทษขับใสไล่ส่งออกจากวัด ข้อนี้ควรศึกษาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ แม้เป็นถึงพระอรหันต์แล้วก็ยังมีความผิดพลาดไม่สามารถจะช่วยน้องของตนได้ แล้วยังโทษแต่น้องชายฝ่ายเดียวว่าเป็นคนโง่ทึบ อันคนสามัญธรรมดาด้วยแล้ว ถ้าไม่พินิจพิจารณาให้รอบคอบแล้ว ยิ่งจะมีความพลั้งพลาดในทํานองที่เป็นอย่างมากหลายที่เดียว โดยมากมักเป็นจําพวกผู้ใหญ่ ตนเองนั้นแหละโง่เขลา ไม่สามารถจะสอนศิษย์ให้ดีได้ หรือไม่สามารถจะปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดีได้แล้ว มักจะโทษหรือลงโทษแต่ฝ่ายผู้น้อยข้างเดียวโดยหลงผิดว่าเขาเป็นคนโง่เขลา เป็นคนไม่ดี แต่มองไม่เห็นความโง่ของตน ที่ตนไม่สามารถจะสอนศิษย์ให้ฉลาดได้ ไม่สามารถจะปกครองคนให้เป็นคนดีได้ โดยนัยนี้ย่อมจะเห็นได้ว่า คนเราที่จะรู้หลักนักปราชญ์หรือจะเป็นคนดีมีศีลมีธรรมนั้น ต้องได้อาศัยครูผู้สอนที่ดีที่สามารถ และได้อาศัยผู้ปกครองที่ดีที่สามารถประกอบกันด้วย
ความจริงข้อนี้จึงเห็นตัวอย่างพระจูฬปันถกะนั่นแล เมื่อท่านได้ครูที่ฉลาดมีความสามารถรู้จักอุปนิสัยจิตใจ สอนถูกจุดเป้าหมายแล้ว ท่านกลายเป็นบุคคลที่ฉลาดและมีความสามารถอย่างน่าอัศจรรย์ขึ้นได้ในเวลาเพียงเล็กน้อย กล่าวคือเมื่อพระจูฬปันถกะได้สมเด็จพระพุทธองค์ผู้เป็นขั้นพระบรมครูเป็นที่พึ่ง เพียงทรงสอนให้เอามือลูบผืนผ้าไปๆ มาๆ พร้อมกับบริกรรมว่า ผ้าเช็ดธุลี ผ้าเช็ดธุลี เท่านั้นเป็นบทเรียนเบื้องต้น ต่อมาภายในไม่ช้าท่านก็เกิดญานปรีชาเห็นผ้าที่ใหม่ๆ และสะอาดมาแต่เดิมนั้น กลายเป็นผ้าที่เศร้าหมองขึ้นและทราบถึงเหตุต่อไปว่า ที่ผ้าเศร้าหมองนั้นเพราะเหตุที่ได้สัมผัสถูกต้องกับอัตภาพร่างกายที่สกปรกนี้ จึงเกิดความสํานึกได้ว่า สังขารธรรมทั้งหลายไม่เที่ยงแท้แน่นอนจริงหนอ แล้วยึดเอาความเสื่อมสิ้นไปของสังขารธรรมนั้นมาเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา เร่งเจริญวิปัสสนากรรมฐานให้ยิ่งขึ้นไป ในระยะต่อมาไม่ช้า ได้ฟังพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระบรมศาสดาซึ่งมีใจความว่า “ ราคะ โทสะ โมหะ ต่างหากที่เรียกว่า ธุลี หาใช่ฝุ่นละอองไม่ คําว่า ธุลี นี้เป็นชื่อของ ราคะ โทสะ โมหะ ภิกษุทั้งหลายครั้นละธุลีนี้ได้แล้ว ย่อมอยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลีได้ “ ดังนี้ท่านก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมกับปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ ในขณะเดียวกันพระไตรปิฎกทั้ง ๓ ก็ได้มาปรากฏขึ้นภายในสมองท่านเองด้วยอํานาจระหว่างปฏิสัมธภิทาญาณนั้น นี้แสดงให้เห็นว่า คนเรานั้นเมื่อได้ครูดีศิษย์ดีประกอบกันแล้ว ย่อมสามารถจะเสกสรรปั้นแต่งตนให้เป็นคนดีได้ ครูและศิษย์ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน ด้วยประการฉะนี้
ประการที่ ๔ ตอนอดีตนิทานที่ปรารภถึงบุพพจริยาของพระจูฬปันถกะนั้น มีข้อที่ควรยกขึ้นมาอรรถาธิบาย คือ ครั้งนั้น พระจูฬปันถกะนี้เป็นมานพชาวเมืองพาราณสีไปเรียนศิลปะที่เมืองตักกสิลา เป็นคนเอาใจใส่ปฏิบัติอุปัฏฐากอาจารย์ดี ทําให้อาจารย์มีความเมตตารักใคร่มาก แต่เธอเป็นคนมีสมองทึบเรียนวิชาความรู้อะไรก็ไม่สําเร็จ แม้อาจารย์จะได้ช่วยแนะนําสั่งสอนเป็นอย่างดีแล้ว อย่างไรก็ตาม ส่วนอาจารย์มีความประสงค์จะสงเคราะห์โดยวิธีใดวิธีหนึ่งให้จงได้ จึงจะส่งกลับบ้านเมือง จึงได้ผูกมนต์ขึ้นบทหนึ่ง แล้วพามาณพนั้นไปเรียนมนต์อยู่ในป่าจนท่องจําขึ้นปากอย่างคล่องแคล่วแม่นยําดีแล้ว จึงกลับมาแล้วส่งมาณพผู้ศิษย์กลับคืนสู่เมืองพาราณสี ก็มนต์ที่อาจารย์ผูกขึ้นสอนมาณพนั้นเป็นคําบาลีว่าดังนี้ .
“ ฆฏฺเฏสิ ฆฏฺเฏสิ กึการณา ฆฏฺเฏสิ อหํปิ ตํ ชานามิ ชานามิ “
ความไทยว่า “ พยายามไปซิ พยายามไปซิ จะพยายามไปทําไมเล่า ? แม้ข้าพเจ้ารู้จักตัวท่านอยู่ ข้าพเจ้ารู้จักตัวท่านอยู่ “ ดังนี้ เพราะได้อาศัยมนต์บทนี้ ภายหลังจากกลับมาแล้ว มาณพนั้นได้เป็นพระอาจารย์ของพระเจ้าพาราณสี ต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็นเสนาบดี ดังมีความพิสดารในท้องนิทานนั้นแล้ว ครั้นมาในสมัยพระพุทธศาสนาของสมเด็จพระพุทธองค์ของเรานี้ มาณพนั้นได้มาเกิดเป็นพระจูฬปันถกเถระ อาจารย์ผู้ผูกมนต์สอนให้นั้นคือ สมเด็จพระบรมศาสดา ก็มนต์บทนี้มักจะมีอาจารย์มนต์ทั้งหลายนํามาสอนสานุศิษย์สืบๆ กันมา จนกระทั่งสมัยปัจจุบันทุกวันนี้ ซึ่งมักจะรู้กันอยู่ในวงคนที่นับถือเวทมนต์ทั้งหลาย แต่มนต์นี้จะมีความศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่เพียงไรนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับผู้ที่นับถือและปฏิบัติตามเป็นประการ สําคัญ คือถ้านับถือจริงทําจริงก็ย่อมได้ผลจริง ถ้าไม่นับถือด้วยไม่ได้ปฏิบัติด้วยก็ย่อมไม่บังเกิดผลเป็นธรรมดา มนต์คาถาและวิชาความรู้ทั้งหลายในโลกนี้ย่อมขึ้นอยู่ในกฏอันเดียวกันนี้สิ้นทั้งมวล แม้คําสอนทั้งหลาย ไม่ว่าคําสอนทางคดีโลกหรือคําสอนทางคดีธรรม ย่อมอํานวยผลให้เฉพาะจําพวกคนที่นับถือจริง และทําตามจริงๆ เท่านั้น นอกนั้นคือที่ไม่เชื่อถือและมิได้ทําตาม ถึงจะมีความรู้มากเป็นตู้ๆ ก็ตาม เขาจะไม่ได้รับผลแห่งความรู้นั้นโดยตรงสมดังความมุ่งหมายเลย ตรงกับคําสุภาษิตที่ว่า " ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ” ดังนี้.
ประการที่ ๕ สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดภิกษุทั้งหลาย โดยทรงปรารภปฏิปทาของพระจูฬปันถกเถระเป็นตัวอย่าง มีข้อความสั้น ๆ ดังนี้
ผู้มีปัญญาพึงสร้างเกาะที่ห้วงน้ำท่วมทับทําลายไม่ได้ด้วยธรรม ๔ ประการ คือ ความเพียร ๑ ความไม่ประมาท ๑ ความสํารวม ๑ ความฝึกตน ๑
ในพระธรรมเทศนาสุภาษิตนี้มีอรรถาธิบายว่า คําว่า เกาะ ในที่นี้ท่านหมายเอาพระอรหัตผล คําว่า ห้วงน้ำ หมายเอาห้วงน้ำคือกิเลสซึ่งเรียกในคําบาลีว่า โอฆะ โอฆะที่แปลว่าห่วงน้ำคือกิเลสนั้นท่านสงเคราะห์ไว้ ๔ อย่าง เรียกว่า โอฆะ ๔ คือ ๑. กาโมฆะ ห้วงน้ำคือกาม อันได้แก่ความอยากได้ใคร่ดีในอารมณ์ ต่างๆ ๒. ภโวฆะ ห้วงน้ำคือภพ อันได้แก่เจตนากรรมอันเป็นเหตุให้อยากเกิดในภพทั้ง ๓ ๓.ทิฏโฐฆะ ห้วงน้ำคือสักกายทิฏฐิ อันได้แก่ความเห็นผิด คือเห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวเป็นตนเป็นสัตว์เป็นบุคคลจริงๆ เป็นต้น ๔. อวิชโชฆะ ห้วงน้ำคืออวิชชา อันได้แก่ความไม่รู้จักสภาวธรรมตามเป็นจริง หรือไม่รู้จักปรมัตถธรรม โอฆะธรรมทั้ง ๔ นี้ เป็นเครื่องท่วมจิตใจของสรรพสัตว์ทั้งหลายผู้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ โอฆะ ๔ เป็นดุจดังมหาสมุทรสาคร จึงเรียกว่าห้วงน้ำ สัตว์ทั้งหลายที่เกิดๆ ตายๆ กันอยู่นี้ เป็นเสมือนคนที่แหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรสาครนั้นเพราะถูกห้วงน้ำทั้ง ๔ นี้ท่วมทับทําลาย จึงทําให้เป็นทุกข์กันอยู่ตลอดชาติและตลอดไปทุกชาติทุกภพ และไม่ทราบว่าจะไปหมดทุกข์กันเมื่อใดก็ไม่มีใครรู้ จึงเปรียบเสมือนคนที่แหวกว่ายอยู่ในกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ มองไม่เห็นฝั่งฝา และไม่มีเกาะแก่งที่จะพักพาอาศัย แม้ถึงเป็นดังนี้ ก็ไม่คิดที่จะสร้างเกาะสร้างแก่งไว้เป็นที่พึ่งพาอาศัย ด้วยอํานาจความเขลาไม่รู้เท่าทันตามสภาวธรรม
เพราะฉะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสสอนให้สร้างเกาะสร้างแก่งไว้เป็นที่พึงเสีย หมายถึงให้ลงมือประพฤติปฏิบัติธรรมจนให้ได้บรรลุถึงซึ่งพระอรหัตผล เหมือนอย่างพระจูฬปันถกเถระ พระอรหัตผลนั้น เป็นดุจเกาะแก่งกลางมหาสมุทรสาคร อันเกาะแก่งซึ่งอยู่ในกลางมหาสมุทรนั้น น้ำมหาสมุทรย่อมขึ้นท่วมทําลายไม่ได้ คนที่ขึ้นอาศัยอยู่บนเกาะแล้วน้ำก็ท่วมไม่ได้ฉันใด พระอรหัตผลนั้น ก็เช่นเดียวกัน เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมได้บรรลุถึงพระอรหัตผลแล้วห้วงน้ำกิเลสทั้งหลาย ๔ มีกาโมฆะเป็นต้นนั้น ย่อมท่วมทับจิตใจไม่ได้ คือพ้นจากห้วงกิเลสแล้ว พระอรหันต์ย่อมไม่เกิดตายวนว่ายอยู่ในสังสารวัฏต่อไปอีก ทั้งนี้ก็เพราะได้เกาะ คือพระอรหัตผลเป็นที่พึ่งแล้ว
สมเด็จพระบรมศาสดาทรงสอนให้สร้างเกาะด้วยธรรม ๔ ประการคือ ความเพียร ๑ ความไม่ประมาท ๑ ความสํารวม ๑ ความฝึกตน ๑ ตามพระพุทธโอวาทนี้ ประการแรกผู้ปฏิบัติจะต้องมีความพยายามในการปฏิบัติธรรม ถ้าเกียจคร้านแล้วก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ เมื่อตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ว่าจะลงมือปฏิบัติธรรมเพื่อสร้างเกาะให้เป็นที่พึ่งแก่ตนแล้ว แต่นั้นจึงตั้งสติสํารวมกายวาจาไม่ให้ละเมิดองค์ของศีล ตามเพศภูมิของตน แล้วใช้สติคอยกําหนดจับอารมณ์ในทวารทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การใช้สติคอยกําหนดจับอารมณ์อยู่อย่างไม่พลั้งเผลอได้มีสติเกิดทันทุกๆ อารมณ์ที่ผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง ๖ นั้น เรียกว่าเป็นผู้ไม่ประมาท เพราะเป็นผู้มีสติปรากฏประจําอยู่ทุกทวารทุกวาระที่อารมณ์ผ่านมา ลักษณะแห่งความไม่ประมาท อันได้แก่ความไม่อยู่ปราศจากสติ ต่อแต่นั้นก็พยายามใช้สตินั่นแหละคอยกําหนดอารมณ์ในทวารทั้ง ๕ เรื่อยๆ ไป ในขณะเดียวกันนั้น สัมปชัญญะอันเป็นตัวปัญญาก็จะแก่กล้าขึ้น รู้เท่าทันอารมณ์นั้น ๆ ตามความเป็นจริง คือเห็นเป็นเพียงขันธ์ ๕ หรือรูปกับนาม หรือกายกับใจ เท่านั้น ไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคลจริง ที่เรียกขานกันว่าสัตว์ ว่าบุคคลนั้น เป็นแต่เพียงสมมติกันขึ้นเท่านั้น เมื่อพยายามกําหนดไปพิจารณาไปโดยนัยนี้บ่อยๆ ไม่ยอมละเลิกความเพียร เรียกว่าฝึกตนหรือทรมานตนก็เรียก เมื่อฝึกไปทรมานไปด้วยอาศัยกําลังคือความเพียรเป็นปัจจัย สติก็จะแก่กล้าคือว่องไวกําหนดทันกับจังหวะของอารมณ์นั้นๆ ได้ดีขึ้นจนไม่พลาดเลย สัมปชัญญะคือญาณก็จะแก่กล้าคือรู้แจ้งชัดต่ออารมณ์นั้นมากขึ้น จนเห็นพระไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แจ้งชัด เมื่ออินทรีย์ทั้ง ๕ คือศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นไปโดยสม่ำเสมอกันแล้ว จิตของผู้ปฏิบัติธรรมนั้นก็จะสลัดทิ้งเสียซึ่งสังขารคือรูปนามที่เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาญาณอยู่นั้น โดยน้อมไปรับเอาพระนิพพานมาเป็นอารมณ์แทน ขณะที่จิตเปลี่ยนอารมณ์จากรูปนามไปรับเอานิพพานอารมณ์นั้น เป็นวาระแห่งการบรรลุมรรคบรรลุผลตามลําดับ ผู้ที่ได้บรรลุถึงพระอรหัตผลนั้น พระอรหัตมรรคญาณย่อมทําหน้าที่ประหารโอฆะทั้ง ๔ ให้สิ้นสูญไปอย่างเด็ดขาดแล้ว เพราะฉะนั้นสมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสสอนว่า
ผู้มีปัญญาพึงสร้างเกาะที่ห้วงน้ําท่วมทับทําลายไม่ได้ด้วยคุณธรรม ๔ ประการ คือ ความเพียร ๑ ความไม่ประมาท๑ ความสํารวม ๑ ความฝึกตน ๑
ซึ่งมีอรรถธิบายดังรับประทานวิสัชนามา จึงขอยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงนี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้
( ๒๘ ก.ย. – ๒๙ ก.ย. ๒๕๐๕ เวลา ๒๑.๔๐ น.)
|